คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4165/2540
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 859
เมื่อครบกำหนดชำระหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี จำเลยที่ 1 ขอต่ออายุสัญญาอีก แม้โจทก์ไม่สนองรับแต่ก็ยอมให้มีการเดินสะพัดในบัญชีกระแสรายวันต่อไป การกระทำดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการแสดงเจตนาสนองรับยอมให้ต่อสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี สัญญาดังกล่าวจึงมีผลบังคับ เมื่อครบกำหนดสัญญาก็ยังคงมีการเดินสะพัดในบัญชีต่อไปโดยไม่ปรากฏว่ามีการต่อสัญญาเป็นหนังสือ ถือได้ว่ามีการตกลงให้มีการเบิกเงินเกินบัญชีต่อไปคราวละ 6 เดือน ก่อนครบกำหนดอายุสัญญาครั้งสุดท้ายวันที่ 13 กรกฎาคม 2531 ปรากฏว่ามีการถอนเงินและการนำเงินเข้าบัญชีถึงวันที่ 7 เมษายน 2531 หลังจากนั้นไม่มีการถอนเงินจากบัญชีอีก จึงถือว่าคู่สัญญาไม่มีเจตนาที่จะเดินสะพัดในบัญชีต่อไป สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีจึงสิ้นสุดลงเมื่อสิ้นกำหนดต่ออายุสัญญาดังกล่าว โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นได้จนถึงวันสิ้นกำหนดสัญญา ต่อจากนั้นคิดได้แต่ดอกเบี้ยธรรมดา
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน27,475,986.78 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี จากต้นเงิน25,219,439.52 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองที่ดินโฉนดตราจองเลขที่ 6858 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง และที่ดินโฉนดเลขที่ 35586พร้อมสิ่งปลูกสร้างและทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระให้โจทก์จนครบ
จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้คดีและขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาจำเลยที่ 2 ถึงแก่กรรม นายพีระเดช ฮั่นพงษ์กุล ผู้จัดการมรดกของจำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 16,252,462.42 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยจากเงินต้นดังกล่าวอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 14 กรกฎาคม 2531 ถึงวันที่ 30 มีนาคม 2533 ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 31 มีนาคม 2533 ถึงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2533 ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 17 ต่อปี นับแต่วันที่ 30 พฤศจิกายน 2533 ถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2533 ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2533 ถึงวันที่ 10 กรกฎาคม 2534 ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 กรกฎาคม 2534 ถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2534 ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2534 ถึงวันฟ้อง (วันที่ 18 ตุลาคม 2534) และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินจำนองพร้อมสิ่งปลูกสร้างตามโฉนดตราจองเลขที่ 6858 ตำบลวัดอรัญญิก อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก และที่ดินโฉนดเลขที่ 35586 แขวงลาดยาว เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร และทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์จนครบ
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์โดยได้รับอนุญาตให้อุทธรณ์อย่างคนอนาถา
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกาโดยได้รับอนุญาตให้ฎีกาอย่างคนอนาถา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "…ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.12 และหลังจากครบกำหนดสัญญาแล้ว จำเลยที่ 1 ขอต่ออายุสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีตามเอกสารหมาย จ.15 และมีการสะพัดในบัญชีตามการ์ดบัญชีกระแสรายวันเอกสารหมาย จ.18 และจำเลยที่ 1 ค้างชำระหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์จริง ส่วนปัญหาว่าโจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นได้ถึงวันที่เท่าใดนั้นเห็นว่า เมื่อครบกำหนดชำระหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีเอกสารหมาย จ.12 แล้ววันที่ 14 มกราคม 2526 จำเลยที่ 1 ขอต่ออายุสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีต่อไปอีก 12 เดือนตามเอกสารหมาย จ.15 แม้โจทก์ไม่สนองรับ แต่ปรากฏว่าภายหลังที่จำเลยที่ 1 ขอต่อสัญญากับโจทก์ดังกล่าวแล้ว โจทก์ยอมให้มีการเดินสะพัดในบัญชีกระแสรายวันของจำเลยที่ 1 ต่อไป การกระทำของโจทก์ถือได้ว่าเป็นการแสดงเจตนาสนองรับยอมให้ต่อสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีแล้ว สัญญาดังกล่าวจึงมีผลบังคับต่อไป แต่เมื่อครบกำหนดสัญญาดังกล่าวแล้วยังคงมีการเดินสะพัดในบัญชีกันโดยไม่ปรากฏว่ามีการต่ออายุสัญญาเป็นหนังสือ จึงถือว่าได้ตกลงกันให้มีการเบิกเงินเกินบัญชีต่อไปคราวละ 6 เดือนตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีเอกสารหมาย จ.12 ข้อ 4 ก่อนครบกำหนดอายุสัญญาครั้งสุดท้ายวันที่ 13 กรกฎาคม 2531 ปรากฏตามการ์ดบัญชีกระแสรายวันเอกสารหมาย จ.18 ว่า มีทั้งการถอนเงินจากบัญชีและการนำเงินเข้าบัญชีถึงเพียงวันที่ 7 เมษายน2531 หลังจากนั้นมาไม่มีการถอนเงินจากบัญชีอีกเลย ถือว่าคู่สัญญาไม่มีเจตนาที่จะเดินสะพัดในบัญชีต่อไป สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีสิ้นสุดลง เมื่อสิ้นกำหนดต่ออายุสัญญาดังกล่าวคือในวันที่ 13 กรกฎาคม 2531 โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นจนถึงวันสิ้นกำหนดสัญญาดังกล่าว ต่อไปจากนั้นคงคิดได้แต่ดอกเบี้ยธรรมดา ตามบันทึกรายการคิดดอกเบี้ยทบต้นเอกสารหมาย จ.19 ไม่ปรากฏว่าวันสิ้นกำหนดสัญญานั้นมียอดหนี้ค้างชำระเท่าใด แต่ในวันใกล้เคียงที่สุดของวันดังกล่าว คือวันที่ 30 มิถุนายน 2531 มียอดหนี้ค้างชำระจำนวน 16,252,462.42 บาท ศาลชั้นต้นคิดดอกเบี้ยทบต้นถึงวันดังกล่าวชอบแล้ว
ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า มีมูลหนี้ตามสัญญาจำนองจะบังคับเอาจากจำเลยที่ 2 ได้หรือไม่นั้น เห็นว่า ประเด็นข้อนี้จำเลยที่ 2 มิได้ฎีกา ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 ทุกข้อฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan
แหล่งที่มา สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ชื่อคู่ความ โจทก์ - ธนาคาร นครหลวงไทย จำกัด จำเลย - ห้างหุ้นส่วนจำกัด นิวสลูบี้ไนท์คลับ กับพวก
ชื่อองค์คณะ ไพฑูรย์ แสงจันทร์เทศ ธวัชชัย พิทักษ์พล อัครวิทย์ สุมาวงศ์
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan