สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4141/2533

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4141/2533

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 680 วรรคสอง

หนังสือสัญญาค้ำประกันมีแต่จำเลยที่ 3 ลงชื่อเป็นผู้ค้ำประกันไว้เท่านั้น โดยข้อความในสัญญามิได้ปรากฏว่า จำเลยที่ 3 ค้ำประกันหนี้ของผู้ใดต่อโจทก์ และจำเลยที่ 1 นำหนังสือค้ำประกันนั้นมาให้โจทก์ โดยไม่ปรากฏว่า จำเลยที่ 3 มีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับโจทก์ทั้งข้อความในสัญญาก็กล่าวถึงการค้ำประกันต่อบริษัทโดยตลอด มิได้บ่งชี้ว่า จำเลยที่ 3 เจตนาจะค้ำประกันจำเลยที่ 2 ต่อโจทก์แต่อย่างใด โจทก์ย่อมไม่อาจใช้หนังสือสัญญาค้ำประกันดังกล่าวมาเป็นหลักฐานฟ้องร้องให้บังคับคดีแก่จำเลยที่ 3 ได้

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้สั่งจ่ายเช็คและสลักหลังเช็คบางฉบับ จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้สลักหลังเช็คทุกฉบับ และจำเลยที่ 3 ในฐานะผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 2 ร่วมกันชำระเงิน 172,335 บาทให้โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ของต้นเงิน161,550 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยที่ 1 ที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

จำเลยที่ 3 ให้การว่า ไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ หนังสือสัญญาค้ำประกันท้ายฟ้องเป็นเอกสารที่ทำขึ้นระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 ไม่เกี่ยวพันกับโจทก์ และสัญญาดังกล่าวเป็นโมฆะเพราะขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ร่วมกันชำระเงินและดอกเบี้ยตามฟ้องให้แก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ 1 ร่วมกันชำระเงิน60,000 บาท นับแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2527 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขอโจทก์นอกจากนี้ให้ยก

โจทก์และจำเลยที่ 3 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2ชำระเงินให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยที่ 3 จะต้องรับผิดต่อโจทก์ในฐานะผู้ค้ำประกันหรือไม่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 680 วรรคสอง บัญญัติว่าสัญญาค้ำประกันนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกันเป็นสำคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่เมื่อปรากฏว่าหนังสือสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.6 มีแต่จำเลยที่ 3 ลงชื่อเป็นผู้ค้ำประกันไว้เท่านั้น โดยข้อความในหนังสือสัญญาค้ำประกันนั้น มิได้ปรากฏว่าจำเลยที่ 3 ค้ำประกันหนี้ของผู้ใดต่อโจทก์ ทั้งโจทก์เองนำสืบยอมรับว่า จำเลยที่ 1 นำสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.6 มาให้โจทก์ โดยไม่ปรากฏว่า จำเลยที่ 3มีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับโจทก์ และข้อความในสัญญากล่าวถึงการค้ำประกันต่อบริษัทโดยตลอด มิได้บ่งชี้ว่า จำเลยที่ 3 เจตนาค้ำประกันจำเลยที่ 2 ต่อโจทก์แต่อย่างใด โจทก์ย่อมไม่อาจใช้หนังสือสัญญาค้ำประกันนั้นมาเป็นหลักฐานฟ้องร้องให้บังคับคดีแก่จำเลยที่ 3ได้

พิพากษายืน

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - นาย สุวิทย์ เจียรวัฒน์ชัย จำเลย - นาย อม ร เตชะสุริยวรกุล กับพวก

ชื่อองค์คณะ ประจักษ์ พุทธิสมบัติ สวิน อักขรายุธ ปิ่นทิพย์ สุจริตกุล

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE