สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4139/2533

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4139/2533

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 708, 715, 856, 859

วงเงินจำนองตามที่ระบุในสัญญาจำนองหมายถึงเฉพาะหนี้เงินต้นหาได้รวมถึงหนี้ดอกเบี้ยด้วยไม่ ผู้รับจำนองจึงมีสิทธิขอรับชำระหนี้ในส่วนดอกเบี้ยที่เกินวงเงินจำนองได้ เมื่อสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีที่จำเลยทำไว้กับผู้ร้องไม่ปรากฏรายการเดินสะพัดในบัญชีอันจะเป็นหลักฐานแสดงว่าผู้ร้องได้ยินยอมให้จำเลยเบิกเงินเกินบัญชีต่อไปอีกนับแต่วันสิ้นสุดของสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี ทั้งไม่ปรากฏรายการนำเงินเข้าเพื่อหักทอนหนี้ของยอดเงินที่ยังค้างชำระพฤติการณ์แสดงว่าคู่กรณีทั้งสองฝ่ายให้ถือว่าสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีเป็นอันสิ้นสุดลงตามกำหนดระยะเวลาที่ระบุไว้ในสัญญา ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิที่จะคิดดอกเบี้ยทบต้นโดยอาศัยข้อตกลงตามสัญญาเดิมอีกต่อไป

เนื้อหาฉบับเต็ม

คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยเพื่อบังคับคดีชำระหนี้ผู้ร้องยื่นคำขอชำระหนี้ก่อนในฐานเจ้าหนี้ผู้รับจำนองที่โจทก์นำยึด จำเลยจำนองเป็นประกันหนี้กู้เบิกเงินเกินบัญชีกับผู้ร้องในวงเงิน 200,000 บาท ผู้ร้องขอรับชำระหนี้คิดถึงวันยื่นคำร้องเป็นจำนวนเงิน 288,433.02 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่30 ตุลาคม 2529 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ

โจทก์คัดค้านว่า ผู้ร้องมีบุริมสิทธิในที่ดินเพียงต้นเงินจำนองและดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 8 มีนาคม 2527 จนถึงวันยื่นคำร้องเท่านั้นสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีครบกำหนดในวันที่ 8 มีนาคม 2528 ไม่มีการต่ออายุสัญญาอีก ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นอีกต่อไปผู้ร้องคิดดอกเบี้ยไม่ชอบด้วยกฎหมายขอให้ยกคำร้องของผู้ร้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษา (ที่ถูกเป็นมีคำสั่ง) ว่า ให้ผู้ร้องมีบุริมสิทธิ์ในทรัพย์จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 4899 ตำบลแม่กลอง(แหลมใหญ่) อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสงครามพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นเงิน 200,000 บาท

ผู้ร้องอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

ผู้ร้องฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาว่า ผู้ร้องมีบุริมสิทธิขอรับชำระหนี้จำนองได้เท่าใดผู้ร้องฎีกาว่ายอดเงินตามที่ระบุในสัญญาจำนองและสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีจำนวน 200,000 บาทไม่รวมถึงดอกเบี้ยด้วย ผู้ร้องจึงมีสิทธิได้รับชำระหนี้ก่อนเป็นเงิน288,433.02 บาท ตามคำร้องศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วสัญญาจำนอง ข้อ 1ระบุว่า "ผู้จำนองตกลงจำนองที่ดินเพื่อเป็นประกันหนี้ของผู้จำนองซึ่งเป็นหนี้ผู้รับจำนองอยู่ในเวลานี้หรือในเวลาใด เวลาหนึ่งต่อไปในภายหน้าเป็นจำนวนเงิน 200,000 บาท" และสัญญาต่อท้ายสัญญาจำนอง ข้อ 1 ระบุว่า "จำนองประกันหนี้ซึ่งผู้จำนองเป็นหนี้อยู่ในเวลานี้หรือในเวลาใดเวลาหนึ่งต่อไปในภายหน้าเป็นจำนวนเงิน200,000 บาท กับค่าอุปกรณ์ คือ ดอกเบี้ย ค่าสินไหมทดแทน ในการไม่ชำระหนี้และค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับจำนอง" เห็นว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 708 บัญญัติว่า "สัญญาจำนองนั้นต้องมีจำนวนเงินระบุไว้เป็นเรือนเงินไทยเป็นจำนวนแน่ตรงตัวหรือจำนวนขั้นสูงสุดที่ได้เอาทรัพย์สินจำนองนั้นตราไว้เป็นประกัน"และมาตรา 715 บัญญัติว่า "ทรัพย์สินซึ่งจำนองย่อมเป็นประกันเพื่อการชำระหนี้กับทั้งค่าอุปกรณ์ด้วยคือ (1) ดอกเบี้ย (2) ค่าสินไหมทดแทนในการไม่ชำระหนี้ (3) ค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับจำนอง"จากบทบัญญัติทั้งสองมาตราดังกล่าว จะเห็นได้ว่าหากมีการระบุจำนวนเงินที่จำนองเป็นประกันไว้ และให้รวมถึงดอกเบี้ยหรือค่าอุปกรณ์อื่นรวมอยู่ในวงเงินนั้นด้วย ก็หาจำต้องระบุข้อความไว้ในมาตรา 715อีกไม่ เพราะจำนองย่อมเป็นประกันหนี้ตามวงเงินที่กำหนดตามมาตรา 708อยู่แล้วที่มาตรา 715 บัญญัติเช่นนั้นจึงเห็นได้ว่าหนี้ดอกเบี้ยหาได้รวมอยู่ในวงเงินตามที่ระบุในสัญญาจำนองไม่ ดังนั้น ผู้ร้องจึงมีสิทธิขอรับชำระหนี้ก่อนในส่วนดอกเบี้ยที่เกินวงเงิน 200,000 บาทด้วยที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ผู้ร้องมีบุริมสิทธิในทรัพย์จำนองเพียง200,000 บาท โดยไม่ให้ดอกเบี้ยจากเงินจำนวนดังกล่าวนั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น แต่ที่ผู้ร้องขอคิดดอกเบี้ยทบต้นอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 8 มีนาคม2527 อันเป็นวันที่ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี จนถึงวันที่ 29ตุลาคม 2529 อันเป็นวันยื่นคำร้องนั้น เห็นว่า ตามสำเนาสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเอกสารหมาย ร.1 และสำเนาบัญชีกระแสรายวันของจำเลยเอกสารหมาย ร.4 ไม่ปรากฎรายการเดินสะพัดในบัญชีอันจะเป็นหลักฐานแสดงว่าผู้ร้องได้ยอมให้จำเลยกู้เบิกเงินเกินบัญชีต่อไปอีกนับแต่วันสิ้นสุดของสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี ซึ่งกำหนดให้จำเลยชำระทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 8 มีนาคม2528 ทั้งไม่ปรากฏรายการการนำเงินเข้าเพื่อหักทอนหนี้ของยอดเงินที่ค้างชำระของฝ่ายจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ ตามพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่าคู่กรณีทั้งสองฝ่ายให้ถือว่าสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเป็นอันสิ้นสุดลงตามกำหนดระยะเวลาที่ระบุไว้ในสัญญาดังกล่าว ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิที่จะคิดดอกเบี้ยทบต้นโดยอาศัยสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีตามเอกสารหมาย ร.1 ได้อีกต่อไป

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ผู้ร้องมีสิทธิได้รับชำระหนี้ก่อนโจทก์และเจ้าหนี้รายอื่นเป็นเงิน 200,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปี โดยวิธีทบต้น นับแต่วันที่ 8 มีนาคม 2527 ถึงวันที่ 8 มีนาคม 2528 หลังจากนั้นให้คิดดอกเบี้ยในอัตราเดียวกันโดยไม่ทบต้นจนกว่าผู้ร้องจะชำระหนี้แล้วเสร็จ

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - ธนาคาร นครหลวง ไทย จำกัด ผู้ร้อง - ธนาคาร กรุงไทย จำกัด จำเลย - นาย ต้อย หอ สกุล

ชื่อองค์คณะ ประชา บุญวนิช บุญส่ง วรรณกลาง นิเวศน์ คำผอง

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE