สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3462/2567

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3462/2567

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 120, 158 พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. 2559 ม. 6, 15 วรรคหนึ่ง, 15 วรรคสาม

แม้การพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบจะใช้ระบบไต่สวน ซึ่งศาลมีอำนาจแสวงหาข้อเท็จจริงได้เอง แต่กรณียังคงต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งตาม ป.วิ.อ. มาตรา 120 ที่นำมาใช้บังคับแก่คดีนี้ด้วยตามมาตรา 6 แห่ง พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. 2559 บัญญัติว่า "ห้ามมิให้อัยการยื่นฟ้องคดีใดต่อศาล โดยมิได้มีการสอบสวนในความผิดนั้นก่อน" ดังนี้ ถ้าพนักงานอัยการฟ้องคดีโดยมิได้มีการสอบสวนก่อนหรือมีการสอบสวนแล้ว แต่การสอบสวนไม่ชอบ ซึ่งต้องถือว่าไม่มีการสอบสวนเช่นกัน การฟ้องย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะพนักงานอัยการไม่มีอำนาจฟ้อง และตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. 2559 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ฟ้องต้องทำเป็นหนังสือมีข้อความตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 158 แห่ง ป.วิ.อ. มีข้อความที่เป็นการกล่าวหาเกี่ยวกับการกระทำอันเป็นความผิดคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ และต้องระบุพฤติการณ์ที่กล่าวหาว่ากระทำความผิดพร้อมทั้งชี้ช่องพยานหลักฐานให้ชัดเจนเพียงพอที่จะดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปได้" และวรรคสาม บัญญัติว่า "กรณีที่ศาลเห็นว่าฟ้องไม่ถูกต้อง ให้ศาลมีคำสั่งให้โจทก์แก้ฟ้องให้ถูกต้อง" ดังนี้ การที่ศาลจะสั่งให้โจทก์แก้ฟ้องตามบทบัญญัติดังกล่าวได้นั้น ฟ้องเดิมจะต้องเป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายอยู่แล้ว เพียงแต่เป็นกรณีที่ฟ้องเดิมไม่สมบูรณ์โดยไม่ได้บรรยายคำฟ้องให้ครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้เท่านั้น

เมื่อความผิดมูลฐานตามฟ้องเดิมและที่ขอแก้ฟ้องต่างกรรมต่างวาระกัน กรณีจึงเป็นการแก้ไขข้อเท็จจริงอันเป็นพฤติการณ์แห่งคดีในส่วนความผิดมูลฐานที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของความผิดฐานฟอกเงิน ซึ่งเป็นสาระสำคัญแก่คดี หาใช่เป็นเพียงการแก้ไขรายละเอียดเพียงบางส่วน ซึ่งต้องแถลงในฟ้องให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริง แม้โจทก์จะมีคำสั่งให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเพิ่มเติม จากนั้นจึงขอแก้ฟ้องเข้ามาภายหลัง แต่เป็นการสอบสวนเพิ่มเติมหลังจากฟ้อง และโดยเฉพาะเมื่อข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำนั้นมิใช่เรื่องที่เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกับการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการซึ่งเป็นความผิดมูลฐานอันเป็นองค์ประกอบสำคัญของความผิดฐานฟอกเงินตามที่ได้มีการสอบสวนมาแต่แรก กรณีไม่อาจถือได้ว่าการกระทำความผิดตามที่โจทก์ขอแก้ฟ้องนั้นได้ผ่านกระบวนการสอบสวนตามขั้นตอนของกฎหมายมาโดยชอบก่อนฟ้องคดีแล้ว เมื่อมิได้มีการสอบสวนในความผิดที่แก้ฟ้องมาโดยชอบ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องและกรณีหาใช่เรื่องที่ศาลมีอำนาจอนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้องได้

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3, 5, 10, 60 พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 23, 45 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 นับโทษจำคุกของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในคดีนี้ต่อจากโทษของจำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 7 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อท.197/2561 ของศาลชั้นต้น ตามลำดับ

จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 2 และที่ 3 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยที่ 4 และที่ 7 ตามลำดับ ในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 5 (3), 60 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นเจ้าพนักงานกระทำความผิดฐานฟอกเงินต้องระวางโทษเป็นสองเท่าของความผิดนั้น ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 10 วรรคหนึ่ง การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละกระทงละ 2 ปี และปรับคนละกระทงละ 42,000 บาท รวม 6 กระทง ทางนำสืบของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละกระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละกระทงละ 1 ปี 4 เดือน และปรับคนละกระทงละ 28,000 บาท รวม 6 กระทง เป็นจำคุกคนละ 6 ปี 24 เดือน และปรับคนละ 168,000 บาท จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นพระภิกษุผู้ประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในพระธรรมวินัย เมื่อไม่ปรากฏว่าเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนดคนละ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 (ที่แก้ไขใหม่) ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 (ที่แก้ไขใหม่) ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำคุกของจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษจำเลยที่ 4 ในคดีหมายเลขดำที่ อท.197/2561 ของศาลชั้นต้น นั้น เนื่องจากคดีนี้ศาลรอการลงโทษจำเลยที่ 2 จึงไม่อาจนับโทษต่อได้ ให้ยกคำขอในส่วนนี้ และยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3

จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบพิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2 เสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า แม้การพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบจะใช้ระบบไต่สวนซึ่งศาลมีอำนาจแสวงหาข้อเท็จจริงได้เอง แต่กรณียังคงต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 120 ที่นำมาใช้บังคับแก่คดีนี้ด้วยตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. 2559 บัญญัติว่า "ห้ามมิให้อัยการยื่นฟ้องคดีใดต่อศาล โดยมิได้มีการสอบสวนในความผิดนั้นก่อน" ดังนี้ ถ้าพนักงานอัยการฟ้องคดีโดยมิได้มีการสอบสวนก่อน หรือมีการสอบสวนแล้ว แต่การสอบสวนไม่ชอบ ซึ่งต้องถือว่าไม่มีการสอบสวนเช่นกัน การฟ้องย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะพนักงานอัยการไม่มีอำนาจฟ้อง และตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. 2559 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ฟ้องต้องทำเป็นหนังสือมีข้อความตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 158 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มีข้อความที่เป็นการกล่าวหาเกี่ยวกับการกระทำอันเป็นความผิดคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ และต้องระบุพฤติการณ์ที่กล่าวหาว่ากระทำความผิดพร้อมทั้งชี้ช่องพยานหลักฐานให้ชัดเจนเพียงพอที่จะดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปได้" และวรรคสาม บัญญัติว่า "กรณีที่ศาลเห็นว่าฟ้องไม่ถูกต้อง ให้ศาลมีคำสั่งให้โจทก์แก้ฟ้องให้ถูกต้อง" ดังนี้ การที่ศาลจะสั่งให้โจทก์แก้ฟ้องตามบทบัญญัติดังกล่าวได้นั้น ฟ้องเดิมจะต้องเป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายอยู่แล้ว เพียงแต่เป็นกรณีที่ฟ้องเดิมไม่สมบูรณ์โดยไม่ได้บรรยายคำฟ้องให้ครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้เท่านั้น คดีนี้เดิมโจทก์บรรยายฟ้องโดยกล่าวหาว่า ในปีงบประมาณ 2557 นายนพรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติในขณะนั้นกับเจ้าหน้าที่ผู้ใต้บังคับบัญชารวม 5 คน ได้ร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการทำเรื่องอนุมัติเบิกจ่ายเงินงบประมาณสนับสนุนการจัดการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จำนวน 72,000,000 บาท ให้แก่วัดต่าง ๆ รวมทั้งวัด ส. ซึ่งเป็นวัดที่ได้รับจัดสรรเงินงบประมาณ 10,000,000 บาท อันมิชอบด้วยหน้าที่โดยทุจริต เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ โดยวัดที่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะได้รับจัดสรรเงินงบประมาณดังกล่าวจะต้องเป็นวัดที่มีโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา แต่วัด ส. ไม่มีโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินงบประมาณดังกล่าว การที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติอนุมัติจ่ายเงินงบประมาณสนับสนุนการจัดการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ให้แก่วัด ส. จำนวน 10,000,000 บาท โดยโอนเข้าบัญชีธนาคาร ก. ประเภทบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ เลขที่ 051-0-08xxx-x ชื่อบัญชีวัด ส. (เพื่อการพัฒนา) เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2558 จึงเป็นการอนุมัติจัดสรรเงินงบประมาณโดยมิชอบด้วยระเบียบและกฎหมาย เป็นการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญา หรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่หรือทุจริตต่อหน้าที่ตามกฎหมายอื่น ซึ่งเป็นความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3 (5) หลังจากนั้นจำเลยทั้งสามร่วมกันกระทำการฟอกเงิน โดยจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยที่ 3 เบิกถอนเงินงบประมาณดังกล่าวออกจากบัญชีเงินฝาก รวม 6 ครั้ง เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2558 จำนวน 700,000 บาท เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2558 จำนวน 3,000,000 บาท เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2558 จำนวน 3,400,000 บาท เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2558 จำนวน 100,000 บาท เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2558 จำนวน 3,000,000 บาท และเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2558 จำนวน 4,000,000 บาท ซึ่งเป็นเงินหรือทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดมูลฐานไปใช้จ่ายเป็นประโยชน์ส่วนตน โดยจำเลยทั้งสามทราบดีอยู่แล้วว่าเงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินงบประมาณแผ่นดินที่อนุมัติเพื่อนำไปใช้สนับสนุนการจัดการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา และเป็นเงินหรือทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดที่ได้มาจากการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ อันเป็นการร่วมกันโอน รับโอนทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดมูลฐาน เพื่อซุกซ่อนหรือปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สินนั้น หรือกระทำด้วยประการใด ๆ เพื่อปกปิดหรืออำพรางลักษณะที่แท้จริง การได้มา การโอน การได้สิทธิใด ๆ ซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด จำเลยทั้งสามได้รับสำเนาคำฟ้องแล้วยื่นคำให้การปฏิเสธต่อสู้คดีเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2561 มีใจความสรุปได้ว่า ปีงบประมาณ 2557 วัด ส. ไม่ได้ยื่นขอรับเงินสนับสนุนการจัดการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา และไม่เคยได้รับเงินงบประมาณดังกล่าวตามที่โจทก์ฟ้อง รวมทั้งไม่มีการนำเช็คธนาคาร ก. เลขที่ 040xxxx จำนวนเงิน 10,000,000 บาท ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเข้าบัญชีเงินฝากของวัด ส. แต่วัด ส. เคยยื่นขอรับเงินอุดหนุนเพื่อการส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมและการเผยแผ่กิจการพระพุทธศาสนาที่รวมถึงการบูรณะปฏิสังขรณ์สถานที่ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเผยแผ่พระพุทธศาสนา บัญชีเงินฝากของวัด ส. ตามฟ้องเป็นบัญชีที่เปิดไว้เฉพาะรับเงินอุดหนุนประเภทเพื่อการพัฒนาคุณธรรม จริยธรรมและเผยแผ่กิจการพระพุทธศาสนาเท่านั้น เงินงบประมาณ 10,000,000 บาท ที่มีการโอนเข้าบัญชีเงินฝากของวัด ส. เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2558 สืบเนื่องมาจากวัด ส. ได้ทำหนังสือขอรับเงินอุดหนุนเพื่อการส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมและการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ตามหนังสือขอรับเงินอุดหนุนฉบับลงวันที่ 24 มีนาคม 2558 ซึ่งเป็นการขอในปีงบประมาณ 2558 ไม่ใช่เงินอุดหนุนเพื่อสนับสนุนการจัดการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ประจำปีงบประมาณ 2557 ตามที่โจทก์ฟ้อง การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 เบิกถอนเงินจากบัญชีเงินฝากของวัดเป็นการนำไปใช้เพื่อพัฒนากิจการพระพุทธศาสนาในด้านต่าง ๆ ไม่ใช่เป็นการฟอกเงินตามที่โจทก์ฟ้อง หลังจากนั้นเมื่อถึงวันนัดตรวจพยานหลักฐานครั้งที่ 2 ปรากฏข้อเท็จจริงตามเอกสารท้ายคำร้องขอเลื่อนคดีของโจทก์ฉบับลงวันที่ 16 พฤศจิกายน 2561 ว่า เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2561 โจทก์มีหนังสือด่วนที่สุดที่ อส 0049.4/452 ถึงผู้บังคับการปราบปราม แจ้งว่า รายละเอียดข้อเท็จจริงในสำนวนการสอบสวนคดีนี้มีความบกพร่อง ขอให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเพิ่มเติมในประเด็นว่า เหตุใดจึงเกิดความผิดพลาดในการนำเช็คผิดฉบับ ผิดโครงการ ผิดปีงบประมาณมาเป็นมูลเหตุในการดำเนินคดีนี้ ให้ทำการสอบสวนผู้กล่าวหาและพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การของบประมาณ การจัดสรรงบประมาณ การสั่งจ่ายเงินงบประมาณตามโครงการเงินอุดหนุน โครงการศูนย์กลางการเผยแผ่กิจการพระพุทธศาสนา เมื่อทำการสอบสวนได้ข้อเท็จจริงใหม่เป็นยุติแล้วให้แจ้งข้อเท็จจริงและข้อกล่าวหาแก่ผู้ต้องหาทั้งสาม และสอบคำให้การของผู้ต้องหาทั้งสามให้ถูกต้องตามกฎหมาย ต่อมาเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2562 โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ฟ้องว่า โจทก์ให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเพิ่มเติมแล้ว ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีข้อผิดหลงอันเป็นรายละเอียดเพียงบางส่วนซึ่งต้องแถลงในคำฟ้อง จำเป็นต้องขอแก้ฟ้องให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริง ซึ่งไม่ทำให้จำเลยทั้งสามเสียเปรียบและหลงต่อสู้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้องได้ โดยเห็นว่า เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมรายละเอียดซึ่งมิได้กล่าวไว้ในฟ้อง ถือว่ามีเหตุอันควร โดยให้โจทก์ทำคำฟ้องฉบับใหม่มายื่นแทนฉบับเดิม โจทก์ยื่นคำฟ้องฉบับใหม่ลงวันที่ 24 มกราคม 2562 โดยมีการแก้ฟ้องหลายแห่งรวมทั้งแก้ฟ้องในส่วนของผู้กระทำความผิดมูลฐานจากนายนพรัตน์กับพวกรวม 5 คน เป็นนายพนม กับพวกรวม 4 คน แก้ฟ้องเกี่ยวกับพฤติการณ์อันเป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการจากเดิมที่บรรยายฟ้องว่า นายนพรัตน์กับพวกปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริตในการทำเรื่องอนุมัติเบิกจ่ายเงินงบประมาณสนับสนุนการจัดการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ประจำปีงบประมาณ 2557 เป็นว่า นายพนมกับพวกได้กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการในการอนุมัติเงินงบประมาณโครงการเงินอุดหนุนโครงการศูนย์กลางการเผยแผ่กิจการพระพุทธศาสนา ประจำปีงบประมาณ 2558 และแก้ฟ้องเกี่ยวกับหมายเลขเช็คซึ่งในสำนวนการสอบสวนเดิมระบุว่า สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติสั่งจ่ายเงินงบประมาณสนับสนุนการจัดการการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษาให้แก่วัด ส. เป็นเช็คธนาคาร ก. เลขที่ 040xxxx เป็นว่า สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติสั่งจ่ายเงินงบประมาณโครงการเงินอุดหนุนโครงการศูนย์กลางการเผยแผ่กิจการพระพุทธศาสนาให้แก่วัด ส. ประจำปีงบประมาณ 2558 เป็นเช็คธนาคาร ก. เลขที่ 1002xxxx หลังจากจำเลยทั้งสามได้รับสำเนาคำฟ้องฉบับใหม่แล้วได้ยื่นคำให้การฉบับใหม่คัดค้านการขอแก้ฟ้องของโจทก์ว่า การขอแก้ฟ้องของโจทก์และคำสั่งศาลที่อนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้องไม่ชอบด้วยบทบัญญัติของกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. 2559 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 161 เป็นการแก้ฟ้องที่ทำให้จำเลยทั้งสามเสียเปรียบ โดยข้อเท็จจริงปรากฏว่า เดิมร้อยเอกวิกร นักสืบสวนสอบสวนชำนาญการ สังกัดกองกฎหมาย สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ซึ่งได้รับมอบหมายจากเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามให้ดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสามในความผิดฐานฟอกเงินตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 5 (1) และ (2) โดยอ้างถึงการกระทำอันเป็นความผิดมูลฐานว่า นายนพรัตน์กับพวกรวม 5 คน ได้กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการโดยร่วมกันอนุมัติเบิกจ่ายเงินงบประมาณสนับสนุนการจัดการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ประจำปีงบประมาณ 2557 ให้แก่วัด ส. จำนวน 10,000,000 บาท เป็นเช็คธนาคาร ก. เลขที่ 040xxxx โดยไม่ชอบ โดยไม่ปรากฏว่ามีการอ้างถึงการกระทำที่เป็นความผิดมูลฐานของนายพนมกับพวกที่ได้ร่วมกันอนุมัติเงินงบประมาณโครงการเงินอุดหนุนโครงการศูนย์กลางการเผยแผ่กิจการพระพุทธศาสนาประจำปีงบประมาณ 2558 แต่อย่างใด กรณีเพิ่งจะมีการร้องทุกข์กล่าวโทษ แจ้งข้อหา และสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเกี่ยวกับการอนุมัติเงินงบประมาณโครงการเงินอุดหนุนโครงการศูนย์กลางการเผยแผ่กิจการพระพุทธศาสนา ประจำปีงบประมาณ 2558 ในภายหลัง หลังจากโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีนี้และจำเลยทั้งสามยื่นคำให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์แล้ว ข้อที่โจทก์ขอแก้ฟ้องในส่วนความผิดมูลฐานโดยเปลี่ยนตัวผู้กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการจากนายนพรัตน์กับพวกเป็นนายพนมกับพวก และในส่วนพฤติการณ์การกระทำความผิดว่า มีการทุจริตอนุมัติเงินงบประมาณโครงการเงินอุดหนุนโครงการศูนย์กลางการเผยแผ่กิจการพระพุทธศาสนามิใช่การอนุมัติเงินงบประมาณสนับสนุนการจัดการการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ซึ่งเป็นเงินงบประมาณคนละโครงการกัน และคนละปีงบประมาณ ทั้งเช็คที่สั่งจ่ายโอนเข้าบัญชีเงินฝากของวัด ส. ก็เป็นคนละฉบับกัน ความผิดมูลฐานตามฟ้องเดิมและที่ขอแก้ฟ้องจึงต่างกรรมต่างวาระกัน กรณีจึงเป็นการแก้ไขข้อเท็จจริงอันเป็นพฤติการณ์แห่งคดีในส่วนความผิดมูลฐานที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของความผิดฐานฟอกเงิน ซึ่งเป็นสาระสำคัญแก่คดี หาใช่เป็นเพียงการแก้ไขรายละเอียดเพียงบางส่วน ซึ่งต้องแถลงในฟ้องให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริงดังที่โจทก์อ้างมาในคำร้องขอแก้ฟ้องไม่ ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้องจึงไม่ถูกต้อง แม้โจทก์จะมีคำสั่งให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเพิ่มเติม จากนั้นจึงขอแก้ฟ้องเข้ามาภายหลัง แต่เป็นการสอบสวนเพิ่มเติมหลังจากฟ้อง และโดยเฉพาะเมื่อข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำของนายพนมกับพวก กรณีอนุมัติเงินงบประมาณโครงการเงินอุดหนุนโครงการศูนย์กลางการเผยแผ่กิจการพระพุทธศาสนานั้นมิใช่เรื่องที่เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกับการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการของนายนพรัตน์กับพวกซึ่งเป็นความผิดมูลฐานอันเป็นองค์ประกอบสำคัญของความผิดฐานฟอกเงินตามที่ได้มีการสอบสวนมาแต่แรก โดยมีพฤติการณ์การกระทำความผิดที่แตกต่างกันดังกล่าวมาข้างต้น การสอบสวนเพิ่มเติมจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 143 วรรคสอง (ก) ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. 2559 มาตรา 6 วรรคหนึ่ง กรณีไม่อาจถือได้ว่าการกระทำความผิดตามที่โจทก์ขอแก้ฟ้องนั้นได้ผ่านกระบวนการสอบสวนตามขั้นตอนของกฎหมายมาโดยชอบก่อนฟ้องคดีแล้ว เมื่อมิได้มีการสอบสวนในความผิดที่แก้ฟ้องมาโดยชอบ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง และกรณีหาใช่เรื่องที่ศาลมีอำนาจอนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้องได้ดังที่โจทก์ฎีกาไม่ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้นชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา อท.7/2566

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE