สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3432/2563

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3432/2563

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 216 วรรคหนึ่ง

ศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัยว่า อุทธรณ์ของจำเลยไม่ได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงไม่รับวินิจฉัย การที่จำเลยฎีกาว่า พยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองขัดแย้งกันมีข้อพิรุธสงสัย ฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำชำเราโจทก์ร่วมที่ 1 จึงเป็นฎีกาที่ไม่ได้แสดงเหตุผลโต้แย้งคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 8 ว่าไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสมอย่างไรหรือที่ถูกต้องเป็นอย่างไร จึงไม่เป็นการคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 216 วรรคหนึ่ง

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 277, 279, 283 ทวิ, 317 และนับโทษจำเลยต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ย 49/2562 ของศาลชั้นต้น

จำเลยให้การรับสารภาพในข้อหากระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ ส่วนข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้การปฏิเสธ

ระหว่างพิจารณาเด็กหญิง ส. ผู้เสียหายที่ 1 โดยนางสาว ณ. มารดาผู้แทนโดยชอบธรรม และนางสาว ณ. ผู้เสียหายที่ 2 ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ผู้เสียหายที่ 1 เข้าร่วมเป็นโจทก์เฉพาะข้อหาพาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร กระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีและกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปี และอนุญาตให้ผู้เสียหายที่ 2 เข้าร่วมเป็นโจทก์เฉพาะข้อหาพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร โดยให้เรียกผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 ว่า โจทก์ร่วมที่ 1 และที่ 2 ตามลำดับ

โจทก์ร่วมทั้งสองยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าเสียหายต่อเสรีภาพ ร่างกาย จิตใจและชื่อเสียง รวมเป็นเงิน 400,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันละเมิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วมทั้งสอง

จำเลยให้การในคดีส่วนแพ่งขอให้ยกคำร้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสาม (เดิม), 279 วรรคสอง (เดิม), 283 ทวิ วรรคสอง (เดิม) (ที่ถูก 283 ทวิ วรรคสอง), 317 วรรคสาม การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากมารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร ลงโทษจำคุก 5 ปี ฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีซึ่งมิใช่ภริยาของตน ฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีโดยขู่เข็ญ และฐานพาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีซึ่งมิใช่ภริยาของตน ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ลงโทษจำคุก 12 ปี คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากมารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร คงจำคุก 3 ปี 4 เดือน ฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีซึ่งมิใช่ภริยาของตน คงจำคุก 8 ปี รวมจำคุก 11 ปี 4 เดือน นับโทษจำคุกจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ย 49/2562 ของศาลชั้นต้น กับให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 370,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันละเมิด (วันที่ 16 พฤษภาคม 2561) เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วมทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังได้ว่า เด็กหญิง ส. โจทก์ร่วมที่ 1 เกิดเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2555 เป็นบุตรของนาย ม. และนางสาว ณ. โจทก์ร่วมที่ 2 โดยโจทก์ร่วมที่ 1 อยู่ในความดูแลของนางสาว ก. ผู้เสียหายที่ 3 ซึ่งเป็นย่าของโจทก์ร่วมที่ 1 ขณะเกิดเหตุโจทก์ร่วมที่ 1 ศึกษาอยู่ชั้นอนุบาล 3 โรงเรียน ว. พักอาศัยอยู่ร่วมกับนางสาว บ. พี่สาวของผู้เสียหายที่ 3 และครอบครัว ที่บ้านเลขที่ 39/1 ช่วงระหว่างวันที่ 16 พฤษภาคม 2561 จนถึงประมาณกลางเดือนกันยายน 2561 จำเลยซึ่งเป็นสามีของนางสาว บ. รับจ้างขับรถจักรยานยนต์รับส่งโจทก์ร่วมที่ 1 ไปกลับโรงเรียน ต่อมาวันที่ 20 พฤศจิกายน 2561 โจทก์ร่วมทั้งสองไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนกล่าวหาว่า จำเลยกระทำชำเราโจทก์ร่วมที่ 1 พนักงานสอบสวนส่งตัวโจทก์ร่วมที่ 1 ไปให้แพทย์ตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล ช. แพทย์ตรวจพบรอยฉีกขาดเยื่อพรหมจารีแบบเก่า สันนิษฐานว่าน่าจะผ่านการร่วมประเวณีมากกว่า 2 สัปดาห์

มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 หรือไม่ เห็นว่า สำหรับความผิดฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีซึ่งมิใช่ภริยาของตนนั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัยว่า อุทธรณ์ของจำเลยที่อ้างว่าจำเลยไม่ได้กระทำชำเราโจทก์ร่วมที่ 1 ไม่ได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ไม่รับวินิจฉัย ดังนั้น ที่จำเลยฎีกาว่า พยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองขัดแย้งกันมีข้อพิรุธสงสัย ฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำชำเราโจทก์ร่วมที่ 1 นั้น จึงเป็นฎีกาที่ไม่ได้แสดงเหตุผลโต้แย้งคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 8 ว่าไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสมอย่างไรหรือที่ถูกต้องเป็นอย่างไร จึงไม่เป็นการคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย คดีจึงฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ว่า จำเลยกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีซึ่งมิใช่ภริยาของตน และเมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าการกระทำที่ไม่สมควรทางเพศต่อโจทก์ร่วมที่ 1 ดังกล่าว เกิดขึ้นโดยจำเลยอาศัยโอกาสขณะไปรับส่งโจทก์ร่วมที่ 1 ไปกลับโรงเรียน ซึ่งจำเลยก็รับว่าระหว่างทางกลับจากโรงเรียนได้พาโจทก์ร่วมที่ 1 แวะบ้านนาง น. ในสวนปาล์มน้ำมันและกระทำไม่สมควรทางเพศต่อโจทก์ร่วมที่ 1 อันเป็นการล่วงล้ำและกระทบกระเทือนต่ออำนาจปกครองของโจทก์ร่วมที่ 2 ซึ่งเป็นมารดา และผู้เสียหายที่ 3 ซึ่งเป็นผู้ปกครองและผู้ดูแล จึงเป็นการพรากโจทก์ร่วมที่ 1 ซึ่งเป็นเด็กไปเสียจากมารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้มา ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ส่วนที่จำเลยฎีกาโต้แย้งเรื่องจำนวนค่าสินไหมทดแทนนั้น เมื่อฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานกระทำชำเราโจทก์ร่วมที่ 1 และพรากโจทก์ร่วมที่ 1 ไปเสียจากโจทก์ร่วมที่ 2 และผู้เสียหายที่ 3 มิใช่กระทำความผิดเพียงฐานกระทำอนาจารแก่โจทก์ร่วมที่ 1 ซึ่งจำเลยอ้างว่าได้วางเงินชำระค่าสินไหมทดแทนจำนวน 30,000 บาท ไว้แล้วนั้น ค่าสินไหมทดแทนที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์ร่วมที่ 1 อีก 270,000 บาท และแก่โจทก์ร่วมที่ 2 จำนวน 100,000 บาท รวม 370,000 บาท จึงเหมาะสมแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของจำเลยเพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลง

พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งชั้นฎีกาให้เป็นพับ

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา อ.1119/2563

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - พนักงานอัยการจังหวัด โจทก์ร่วม - เด็กหญิง ส. โดยนางสาว ณ. ผู้แทนโดยชอบธรรม กับพวก จำเลย - นาย ส.

ชื่อองค์คณะ ทวีป ตันสวัสดิ์ เสรี เพศประเสริฐ นพรัตน์ สี่ทิศประเสริฐ

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน ศาลจังหวัดไชยา - นางสาวแสงสุรีย์ พงษ์พันธ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 8 - นายทนงศักดิ์ เที่ยงสุทธิสกุล

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE