คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3243/2540
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 18, 55
หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีไม่เป็นเอกสารที่โจทก์ต้องแนบมาพร้อมกับคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18
ม. ยอมรับสภาพหนี้และตกลงจะชำระหนี้แก่โจทก์โดยกำหนดเวลาชำระหนี้ไว้แน่นอนแล้ว เมื่อ ม. ถึงแก่กรรมลง มรดกของ ม. ซึ่งรวมทั้งสิทธิและหน้าที่ในอันที่ต้องชำระหนี้ต่อโจทก์ย่อมตกทอดแก่จำเลยในฐานะทายาทที่จะต้องชำระหนี้ของ ม. ตามกำหนดเวลาดังกล่าวด้วย เมื่อไม่ชำระโจทก์ก็มีสิทธิฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวทวงถามก่อน
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายและเป็นทายาทโดยธรรมของนายมงคล นพมาลัย นายมงคลทำหนังสือรับสภาพหนี้แก่โจทก์ว่าเป็นหนี้ค่าไม้แปรรูปและจะชำระเงิน 274,491 บาท แก่โจทก์ภายในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2536 ต่อมานายมงคลถึงแก่กรรมโดยยังไม่ชำระเงินให้โจทก์ โจทก์จึงมอบอำนาจให้นายวิธันย์ อำไพรัตนา ฟ้องบังคับให้จำเลยชำระเงินให้โจทก์ โจทก์คิดดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน 10,293 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 284,784 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 274,491 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ได้มอบอำนาจให้นายวิธันย์ฟ้องคดีนี้เพราะไม่มีหนังสือมอบอำนาจมาแสดง จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ทั้งหนังสือรับสภาพหนี้มิได้มีกรรมการของโจทก์ลงลายมือชื่อและประทับตราของบริษัทโจทก์และมิได้มีชื่อโจทก์เป็นเจ้าหนี้ นายมงคลถึงแก่กรรมก่อนถึงกำหนดเวลาชำระหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้ จำเลยไม่ทราบว่านายมงคลมีมูลหนี้กับผู้ใดบ้าง โจทก์ไม่เคยมีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ให้โจทก์ 274,491 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2536 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแต่ทั้งนี้ให้จำเลยชำระเงินให้โจทก์เพียงไม่เกินทรัพย์มรดกที่จำเลยได้รับจากกองมรดกของนายมงคล นพมาลัย ผู้ตาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2536 จนถึงวันฟ้อง นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อต่อไปว่า โจทก์มอบอำนาจให้นายวิธันย์ อำไพรัตนา ดำเนินคดีแทนหรือไม่ ข้อนี้โจทก์มีนายวิธันย์เบิกความว่า โจทก์มอบอำนาจให้นายวิธันย์ดำเนินคดีแทนตามหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.2 ซึ่งหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวลงวันที่ 15 มิถุนายน 2536 ก่อนวันฟ้องคดีนี้โดยจำเลยไม่ได้นำสืบหักล้างให้ฟังได้เป็นอย่างอื่น จึงฟังได้ว่า โจทก์มอบอำนาจให้นายวิธันย์ดำเนินคดีนี้แทน ตามหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวจริง ส่วนที่จำเลยฎีกาอีกว่า โจทก์ไม่ได้ส่งหนังสือมอบอำนาจมาพร้อมกับคำฟ้องเป็นการไม่ชอบด้วยนั้น เห็นว่า ไม่มีกฎหมายบังคับว่า หนังสือมอบอำนาจเป็นเอกสารที่โจทก์ต้องแนบมาพร้อมกับคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 ดังนี้ แม้โจทก์มิได้แนบหนังสือมอบอำนาจมาพร้อมคำฟ้อง แต่ได้นำสืบในชั้นพิจารณาซึ่งรับฟังได้ว่าโจทก์ทำหนังสือมอบอำนาจให้นายวิธันย์ดำเนินคดีแทนดังกล่าวข้างต้นแล้ว นายวิธันย์จึงมีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์ได้โดยชอบ……
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อสุดท้ายว่า โจทก์จำเป็นต้องบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ก่อนหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า นายมงคลถึงแก่กรรมลงเสียก่อนครบกำหนดชำระหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้ซึ่งมิใช่ความผิดของลูกหนี้ โจทก์จึงต้องบอกกล่าวให้จำเลยในฐานะทายาทนายมงคลชำระหนี้ก่อนเพราะจำเลยไม่ทราบกำหนดชำระหนี้ดังกล่าว เมื่อโจทก์ไม่ได้บอกกล่าวทวงถามจำเลยก่อนจึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย เห็นว่า นายมงคลยอมรับสภาพหนี้และตกลงจะชำระหนี้แก่โจทก์โดยกำหนดเวลาชำระหนี้ไว้แน่นอนแล้ว เมื่อนายมงคลถึงแก่กรรมลงมรดกของนายมงคลซึ่งรวมทั้งสิทธิและหน้าที่ในอันที่ต้องชำระหนี้ต่อโจทก์ย่อมตกทอดแก่จำเลย จำเลยในฐานะทายาทต้องชำระหนี้ของนายมงคลตามกำหนดเวลาดังกล่าวด้วย เมื่อไม่ชำระโจทก์ก็มีสิทธิฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวทวงถามก่อน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้นชอบแล้ว"
พิพากษายืน
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan
แหล่งที่มา เนติบัณฑิตยสภา
ชื่อคู่ความ โจทก์ - บริษัท เค.ที.ซี. เชียงใหม่ จำกัด จำเลย - นางสาว เสาวณี นพมาลัย
ชื่อองค์คณะ ไพโรจน์ คำอ่อน ชวลิต ศรีสง่า วิเทพ ศิริพากย์
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan