สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3110/2531

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3110/2531

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 59, 337, 364 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 227

จำเลยเป็นญาติกับผู้เสียหายถือวิสาสะเข้าไปในบ้านของผู้เสียหายตามลำพังโดยไม่มีอาวุธ เพื่อพูดขอเงินจากผู้เสียหายเมื่อผู้เสียหายว่าไม่มี จำเลยพูดว่าจะกระทืบให้ขาหักอีก แม้จะเป็นถ้อยคำที่รุนแรงไปบ้าง แต่ก็เป็นการพูดถากถางหยอกล้อมากกว่าที่จะเป็นการข่มขืนใจผู้เสียหายให้จำต้องยินยอม ถือไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนากรรโชกเอาทรัพย์จากผู้เสียหาย บ้านของผู้เสียหายกับจำเลยอยู่ใกล้กัน จำเลยเป็นญาติกับผู้เสียหายและรู้จักกันมานาน จำเลยเคยไปมาหาสู่ที่บ้านของผู้เสียหาย การทีจำเลยเข้าไปในบ้านของผู้เสียหายในวันเกิดเหตุเพื่อพูดขอเงิน จึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยเข้าไปโดยไม่มีเหตุอันสมควร

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามกรรโชกและบุกรุกเคหสถานของผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 91, 337, 362,364, 365

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 337, 80 และมาตรา 365 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 365 ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก 1 ปี คำรับของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้างมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 8 เดือนคำขออื่นให้ยก

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าตามวันเวลาเกิดเหตุจำเลยได้เข้าไปที่บ้านของผู้เสียหายและจำเลยถูกตีศีรษะที่บ้านของผู้เสียหาย คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยได้กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า ขณะจำเลยเข้ามาในบ้านของผู้เสียหายนั้น จำเลยมีอาการเมาสุราถึงขนาดเดินเซ ผู้เสียหายรู้จักจำเลยมาตั้งแต่ผู้เสียหายเกิดเคยร่วมเล่นการพนันไฮโลกัน และจำเลยเคยไปมาหาสู่ที่บ้านของผู้เสียหาย และยังได้ความจากนายชาลี หงษ์ไทย พยานโจทก์ซึ่งเป็นบิดาของผู้เสียหายว่า จำเลยเป็นญาติทางมารดาของตน การที่จำเลยเข้ามาในบ้านของผู้เสียหายเพียงคนเดียวโดยไม่มีอาวุธใด ๆและขณะเข้ามาก็เมาสุรามากตามพฤติการณ์ที่ปรากฏน่าจะเป็นเรื่องจำเลยถือวิสาสะเข้ามาในบ้านของผู้เสียหายและพูดขอเงินเท่านั้นส่วนที่จำเลยว่าจะกระทืบผู้เสียหายให้ขาหักอีกนั้น เป็นคำพูดที่เท้าความถึงเรื่องเดิมที่ผู้เสียหายเคยขาหักมาก่อนแม้จะเป็นคำพูดที่รุนแรงไปบ้าง แต่ก็เป็นการพูดถากถางหยอกล้อกันมากกว่าถ้อยคำที่จำเลยกล่าวจึงไม่ใช่เป็นการข่มขืนใจ และยังถือไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาข่มขืนใจผู้เสียหายให้จำต้องยินยอม ประกอบกับได้ความจากพยานโจทก์ว่า เมื่อผู้เสียหายตีจำเลยแล้ว ผู้เสียหายได้พาภริยาและบุตรไปที่บ้านของนายชาลีโดยไม่มีผู้ใดอยู่ที่บ้านของผู้เสียหายนอกจากจำเลย ซึ่งก็ไม่ปรากฏว่ามีทรัพย์สินใดของผู้เสียหายสูญหายไป จึงเชื่อได้ว่าจำเลยหาได้มีเจตนากรรโชกเอาทรัพย์สินจากผู้เสียหายแต่อย่างใดไม่

ส่วนในความผิดฐานบุกรุกนั้น ได้ความจากพยานโจทก์ว่าบ้านของจำเลยกับบ้านของผู้เสียหายอยู่ใกล้กัน จำเลยเคยไปมาหาสู่ที่บ้านของผู้เสียหาย เพราะเป็นคนรู้จักกันมานานและยังเป็นญาติกันอีกด้วย การที่จำเลยเข้าไปที่บ้านของผู้เสียหายจึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยเข้าไปโดยไม่มีเหตุอันสมควร ที่ผู้เสียหายกับนางสุธิดาเบิกความว่า จำเลยเข้าไปผลักผู้เสียหายล้มลงและลากผู้เสียหายมาที่ประตูบ้านนั้น ก็ได้ความจากนางสุธิดาว่าเมื่อผู้เสียหายสะบัดหลุด จำเลยก็ล้มลงแล้ว และผู้เสียหายได้ใช้จอบตีศีรษะของจำเลย 2 ที กรณีจึงไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ดังนั้น เพราะอาจเป็นเรื่องที่ผู้เสียหายกับนางสุธิดาอ้างขึ้นเพื่อให้ผู้เสียหายพ้นจากความผิดในการใช้จอบตีจำเลยก็เป็นได้จำเลยจึงหามีความผิดฐานบุกรุกตามฟ้องไม่"

พิพากษายืน

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan

แหล่งที่มา สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ชื่อคู่ความ โจทก์ - พนักงานอัยการ จังหวัด ชัยภูมิ จำเลย - นาย ถาวร พูน ประสิทธิ์

ชื่อองค์คณะ ประเสริฐ บุญศรี สง่า ศิลปประสิทธิ์ ปิ่นทิพย์ สุจริตกุล

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE