คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 304/2522
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 567, 572 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 249
จำเลยเช่าซื้อรถยนต์ไปจากโจทก์ได้จอดรถยนต์ที่เช่าซื้อไว้ที่ถนน แล้วถูกคนร้ายลักไปเมื่อถนนดังกล่าวเป็นที่จอดรถได้และมีรถยนต์คันอื่นจอดอยู่หลายคันดังนี้จะเรียกว่าจำเลยประมาทเลินเล่อไม่ได้เมื่อรถดังกล่าวถูกขโมยลักไปสัญญาเช่าซื้อย่อมระงับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 572 ประกอบด้วยมาตรา 567 จำเลยไม่ต้องชำระเงินค่าเช่าซื้อหรือค่าเสียหายตั้งแต่งวดที่รถหายเป็นต้นไป
โจทก์ฎีกาในข้อที่มิได้บรรยายมาในฟ้องหรือนำสืบให้ปรากฏนั้น ศาลฎีกาจะวินิจฉัยให้จำเลยรับผิดไม่ได้
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2516 จำเลยที่ 1 เช่าซื้อรถยนต์ทะเบียน ก.ท.ส. 3714 ไปจากโจทก์ แล้วผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อ โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาและริบเงินที่จำเลยที่ 1 ชำระไปแล้ว กับให้จำเลยที่ 1ส่งมอบรถคืน แต่จำเลยที่ 1 เพิกเฉย จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ในความเสียหายที่โจทก์ได้รับ คือค่าเสียหายตั้งแต่วันผิดนัดถึงวันฟ้อง 30,000 บาท และค่าเสียหายรายเดือน ๆ ละ3,000 บาท จนกว่าจำเลยที่ 1 จะส่งรถคืนหรือใช้ราคา 104,100 บาทขอให้ศาลพิพากษาบังคับ
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ตามฟ้องและจำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาค้ำประกันจริง แต่เนื่องจากเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2516 เวลากลางวัน รถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหายไปโดยไม่ใช่ความผิดหรือความประมาทของจำเลยที่ 1 โจทก์ไม่ติดใจในค่าเช่าซื้อจากจำเลยที่ 1 ต่อไป จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันจึงพ้นความรับผิดไปด้วย จำเลยที่ 1 มิได้ผิดสัญญา ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ศาลพิพากษายกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุมรถยนต์พิพาทได้หายไปจริงและจำเลยที่ 1 ไม่ประมาทเลินเล่อเมื่อรถยนต์พิพาทได้หายไป สัญญาเช่าซื้อย่อมเป็นอันเลิกหรือระงับไปทันทีที่จำเลยที่ 1 ได้แจ้งให้โจทก์ทราบ และจำเลยที่ 1 ก็ได้แจ้งให้โจทก์ทราบในโอกาสแรกที่จะกระทำได้ และข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ได้ทราบเรื่องรถที่ให้เช่าซื้อไปได้หายไปแล้ว เมื่อรถพิพาทหายไปฟังไม่ได้ว่าเป็นความผิดหรือประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1โจทก์ย่อมจะฟ้องเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 คืนรถหรือใช้ราคารถหรือเรียกค่าเสียหายฐานขาดประโยชน์ เพราะจำเลยที่ 1 ครอบครองและใช้รถจากจำเลยที่ 1 ไม่ได้ เพราะรถหายไปและจำเลยที่ 1ไม่ได้ครอบครองและใช้รถ เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์แล้วจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดด้วยพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาคดีแล้ว
โจทก์ฎีกาว่ารถยนต์ที่เช่าซื้อไม่ได้หายไปจริง หากจะหายไปจริงจำเลยที่ 1 ก็ประมาทเลินเล่อนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยที่ 1 เบิกความว่ารถที่เช่าซื้อได้หายไปตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2517 เมื่อหายไปแล้วจำเลยที่ 1 ก็ได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่สถานีตำรวจนครบาลพระราชวังทราบทันที ปรากฏตามรายงานประจำวันเอกสารหมาย ล.1 ซึ่งร้อยตำรวจเอกบุญทรง นาคชิต สารวัตรสืบสวนสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลพระราชวังพยานจำเลยเบิกความว่า จำเลยที่ 1 แจ้งความรถหายจริงจึงไปดูที่เกิดเหตุ เป็นถนนสนามชัยซึ่งจอดรถได้มีรถจอดอยู่หลายคันได้เรียกนายทวี จันทร์พรพงษ์ ผู้จัดการบริษัทโจทก์มาสอบถาม ส่วนพยานโจทก์มีนายทวี จันทร์พรพงษ์ ผู้จัดการบริษัทโจทก์เพียงปากเดียวเบิกความไม่ยืนยันว่ารถที่จำเลยที่ 1 เช่าซื้อหายจริงหรือไม่ หรือหายเพราะความประมาทของจำเลยที่ 1 และไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาสืบฉะนั้น จึงเชื่อว่ารถได้หายไปจริงโดยไม่ใช่ความประมาทของจำเลยที่ 1ทั้งนี้เพราะจำเลยที่ 1 จอดรถไว้ที่ถนนสนามชัย หน้ากรมการรักษาดินแดนซึ่งเป็นที่จอดรถได้และมีรถอื่นจอดอยู่หลายคัน ทั้งจำเลยที่ 1 จอดรถแล้วก็ปิดประตูใส่กุญแจเรียบร้อย และขณะที่จอดก็เป็นเวลากลางวันอีกด้วย เมื่อคดีฟังได้ดังนี้สัญญาเช่าซื้อจึงระงับไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 572 ประกอบด้วยมาตรา 567 จำเลยที่ 1 ไม่ต้องชำระเงินค่าเช่าซื้อหรือค่าเสียหายตั้งแต่งวดที่รถหายเป็นต้นไป
โจทก์ฎีกาว่า ในสัญญาเช่าซื้อข้อ 4 ข. ได้ระบุให้ผู้เช่าซื้อเป็นผู้รับผิดชอบต่อภยันตรายทั้งปวงตลอดจนความเสียหายทุกประการ อันจะพึงมีแก่รถและอุปกรณ์ที่เช่าซื้อไปไว้โดยชัดแจ้งแล้ว ไม่ได้มีข้อยกเว้นว่าการใช้รถของจำเลยนั้นจะได้ใช้ไปโดยความประมาทเลินเล่อหรือไม่นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์หาได้บรรยายในฟ้องหรือนำสืบให้ปรากฏไม่ว่า จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดด้วยเหตุผลตามข้อสัญญาข้อ 4(ข) ดังกล่าว โจทก์ฟ้องและนำสืบแต่เฉพาะให้จำเลยทั้งสองรับผิดในจำนวนเงินค่าเสียหายที่โจทก์นำรถที่จำเลยที่ 1 เช่าซื้อให้ผู้อื่นเช่าไม่ได้เท่านั้น เมื่อโจทก์ไม่บรรยายฟ้องและนำสืบให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดตามสัญญาเช่าซื้อข้อ 4 ข. ก็จะวินิจฉัยให้จำเลยที่ 1 รับผิดตามสัญญาดังกล่าวหาได้ไม่ จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันก็พ้นความรับผิดไปด้วย เหตุผลที่โจทก์ฎีกามานั้นฟังไม่ได้ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ชื่อคู่ความ โจทก์ - บริษัทพาราไฟแนนซ์ จำกัด จำเลย - นายก่อเกียรติ พินธุเวหน กับพวก
ชื่อองค์คณะ พยนต์ ยาวะประภาษ ผสม จิตรชุ่ม สุทิน เลิศวิรุฬห์
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan