สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2888/2540

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2888/2540

ประมวลรัษฎากร ม. 118 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 653 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 238, 243 (ก (3)

โจทก์อุทธรณ์เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมายการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวศาลอุทธรณ์ต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนเว้นแต่ปรากฏว่าศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงผิดต่อกฎหมายเมื่อปรากฏว่าศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงผิดต่อกฎหมายดังนี้การที่ศาลอุทธรณ์ภาค2วินิจฉัยข้อเท็จจริงใหม่แทนข้อเท็จจริงของศาลชั้นต้นจึงชอบแล้ว

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์ 2 ครั้ง ครั้งละ2,000 บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ครั้งแรกทำสัญญากู้ยืมเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2534 และครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 3 มีนาคม2535 จำเลยได้รับเงินตามสัญญากู้ยืมทั้งสองครั้งไปครบถ้วนแล้วจำเลยผิดนัดชำระ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 5,875 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในเงินต้น 4,000 บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์จริง แต่ชำระให้แก่โจทก์แล้ว และโจทก์คิดดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้น พิพากษายก ฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ข้อกฎหมายว่าสัญญากู้ยืมเงินที่โจทก์ส่งศาลปิดอากรแสตมป์ แม้ไม่ขีดฆ่าก็รับฟังเป็นพยานหลักฐานได้

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน 5,875 บาทแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงิน 4,000 บาทนับแต่วันฟ้อง เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลย ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยฎีกาข้อเดียวว่า คดีนี้โจทก์อุทธรณ์ประเด็นเดียวว่า สัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2รับฟังเป็นพยานหลักฐานได้หรือไม่เท่านั้น การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2วินิจฉัยว่า จำเลยให้การรับว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์จริงแต่ได้ชำระเงินคืนแล้ว ถือได้ว่าจำเลยยอมรับข้อเท็จจริงตามสัญญากู้ยืมเงินทั้งสองฉบับ จึงไม่ต้องใช้สัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานนั้นเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น เห็นว่า ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น ลงวันที่ 28 เมษายน 2538จำเลยให้การว่า ได้กู้ยืมเงินโจทก์จริงแต่ได้ชำระคืนให้แก่โจทก์แล้วข้อเท็จจริงจึงฟังได้ตามที่จำเลยให้การว่าจำเลยได้กู้ยืมเงินตามที่โจทก์ฟ้องจริง โจทก์จึงไม่ต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริงดังกล่าวอีกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84(1) การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า หนังสือสัญญากู้ยืมเงิน 2 ฉบับ ที่โจทก์นำมาฟ้องปิดอากรแสตมป์ครบถ้วนแต่ไม่ขีดฆ่า ย่อมถือว่ายังไม่ปิดอากรแสตมป์บริบูรณ์ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 จะใช้สัญญากู้ดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานฟังว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ไม่ได้จึงเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติกฎหมายมาตราดังกล่าวโจทก์อุทธรณ์ว่า แม้จะไม่ได้ขีดอากรแสตมป์สมควรอนุโลมถือว่าโจทก์ปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118แล้ว จึงเป็นอุทธรณ์เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมาย การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวศาลอุทธรณ์ภาค 2 ต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนเว้นแต่ปรากฏว่าศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงผิดต่อกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ภาค 2มีอำนาจฟังข้อเท็จจริงใหม่แทนข้อเท็จจริงของศาลชั้นต้นแล้วมีคำพิพากษาชี้ขาดตัดสินคดีไปตามนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 238 และมาตรา 243(3)(ก)เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงผิดต่อกฎหมายดังวินิจฉัยข้างต้นเช่นนี้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยข้อเท็จจริงใหม่แทนข้อเท็จจริงของศาลชั้นต้นจึงชอบแล้ว

พิพากษายืน

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - นางสาว สุรินทร์ มูลวงศ์ จำเลย - นาง สวลี บุญซ้อน

ชื่อองค์คณะ สถิตย์ ไพเราะ ม.ล.เฉลิมชัย เกษมสันต์ จุมพล ณ สงขลา

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE