สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2860/2530

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2860/2530

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1304, 1349, 1387 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 172

โจทก์บรรยายฟ้องว่า ทางพิพาทนอกจากเป็นถนนสาธารณะแล้วยังเป็นทางภาระจำยอมและทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์จำเลยทำรั้วปิดกั้นทางพิพาทโดยไม่มีสิทธิตามกฎหมาย ขอให้รื้อรั้วและทำสภาพที่ดินให้เหมือนเดิม ดังนี้ ข้อหาตามฟ้องคือจำเลยปิดกั้นทางพิพาทโดยจำเลยไม่มีสิทธิตามกฎหมาย และคำขอบังคับคือให้จำเลยรื้อรั้วและทำสภาพที่ดินให้เหมือนเดิม ส่วนข้อความที่ว่าทางพิพาทเป็นถนนสาธารณะ เป็นทางภาระจำยอม และเป็นทางจำเป็นเป็นเพียงข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ศาลจะต้องพิจารณาต่อไปว่าความจริงเป็นอย่างไรคำบรรยายฟ้องของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นการบรรยายโดยแจ้งชัดเท่าที่โจทก์จะกระทำได้ตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม.

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องว่า ทางพิพาทเป็นถนนสาธารณะ เป็นทางภาระจำยอม และเป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์ จำเลยทำรั้วปิดกั้นโดยไม่มีสิทธิตามกฎหมาย ขอให้รื้อถอนรั้วและใช้ค่าเสียหาย

จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เพราะบรรยายฟ้องว่าทางพิพาทเป็นทั้งทางสาธารณะ ทางภาระจำยอมและทางจำเป็น ซึ่งจะเป็นทั้งสามประการย่อมไม่ได้ มูลข้อเท็จจริงผิดกันเป็นฟ้องที่ไม่แจ้งชัด ยากที่จำเลยจะแก้ข้อหาได้ถูกต้อง

ในวันชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นสั่งงดชี้สองสถานกับงดสืบพยานแล้วพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามฟ้องโจทก์บรรยายว่า โจทก์และคนในที่ดินโจทก์ใช้ถนนสายตลาดนอกท่า-บ้านพรุชลใต้ ซึ่งเป็นถนนสาธารณะที่โจทก์และประชาชนทั่วไปใช้สัญจรไม่น้อยกว่า 50 ปีแล้ว เป็นเส้นทางคมนาคมจากบ้านพรุชลใต้ออกมายังถนนหลวงสายนครศรีธรรมราช-นบพิตำ ข้อความตอนนี้แสดงว่า ถนนสายตลาดเอกท่า-บ้านพรุชลใต้ เป็นทางสาธารณะ และที่ระบุว่าโจทก์และประชาชนทั่วไปใช้สัญจรไม่น้อยกว่า 50 ปีแล้วแสดงว่าโจทก์ได้สิทธิภาระจำยอมเหนือทางพิพาท ส่วนทางพิพาทจะเป็นที่ดินที่มีเจ้าของหรือทางสาธารณะเป็นอีกปัญหาหนึ่ง และฟ้องโจทก์มีข้อความตอนต่อไปว่า นอกจากใช้ถนนสาธารณะสายตลาดนอกท่า-บ้านพรุชลใต้ เป็นเส้นทางคมนาคมสู่ที่อื่น ๆ ได้แล้ว โจทก์ไม่มีเส้นทางใดอีกเลย ซึ่งแสดงว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็น ข้อความที่โจทก์บรรยายมาทั้งหมดเป็นเพียงข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเท่านั้นข้อหาตามฟ้องโจทก์คือจำเลยมาปิดกั้นทางพิพาทโดยจำเลยไม่มีสิทธิตามกฎหมายและคำขอบังคับของโจทก์คือ ให้จำเลยรื้อรั้วและทำสภาพที่ดินให้เหมือนเดิม ข้ออ้างที่เป็นหลักแห่งข้อหาทั้งสามประการ เป็นเรื่องที่ศาลจะต้องพิจารณาต่อไปว่าความจริงเป็นอย่างไร อาจจะเป็นเพียงประการเดียวหรือทั้งสามประการก็ได้ ศาลฎีกาเห็นว่าคำบรรยายฟ้องของโจทก์ในคดีนี้เป็นการบรรยายฟ้องโดยแจ้งชัดเท่าที่โจทก์จะกระทำได้ตามข้อเท็จจริงเท่าที่ปรากฏ ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 ชอบที่ศาลจะดำเนินคดีของโจทก์ต่อไป ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุมชอบแล้ว

พิพากษายืน.

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - นาย พร้อม กิจ เกตุ จำเลย - นาง เพิ่ม นนทเภท กับพวก

ชื่อองค์คณะ ไมตรี กลั่นนุรักษ์ วิฑูรย์ ตั้งตรงจิตต์ เฉลิม การปลื้มจิตต์

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE