คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2773/2564
พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน (ฉบับที่ 11) พ.ศ.2551 ม. 8 พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 ม. 3
พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน (ฉบับที่ 11) พ.ศ.2551 มาตรา 8 วรรคสาม กำหนดให้การพิจารณาพยานหลักฐานของผู้ร้องจะต้องได้ความว่าผู้ร้องเป็นผู้ซึ่งได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่ก่อนวันที่ ป.ที่ดินใช้บังคับ และตามวรรคสี่ กำหนดให้การพิจารณาของศาลตามวรรคสาม ให้ศาลแจ้งกรมที่ดินทราบและให้กรมที่ดินตรวจสอบกับระวางแผนที่รูปถ่ายทางอากาศหรือระวางรูปถ่ายทางอากาศฉบับที่ทำขึ้นก่อนสุดเท่าที่ทางราชการมีอยู่ พร้อมทั้งทำความเห็นเสนอต่อศาลว่า ผู้ร้องได้ครอบครองหรือทำประโยชน์ในที่ดินโดยชอบด้วยกฎหมายก่อนวันที่ ป.ที่ดินใช้บังคับหรือไม่ เพื่อประกอบการพิจารณาของศาล ดังนั้น การพิจารณาเนื้อที่ที่ดินจึงต้องพิจารณาเนื้อที่ที่มีการครอบครองทำประโยชน์อยู่ก่อนวันที่ ป.ที่ดินใช้บังคับเป็นสาระสำคัญ มิใช่พิจารณาจากเนื้อที่ที่ครอบครองทำประโยชน์ในขณะขอออกโฉนดที่ดินหรือเอกสารสิทธิ ส่วนเนื้อที่ที่เพิ่มขึ้นในภายหลังย่อมมิใช่ที่ดินที่มีการครอบครองและทำประโยชน์อยู่ก่อนวันที่ ป.ที่ดินใช้บังคับ ทั้งหากยินยอมให้มีการครอบครองเนื้อที่เพิ่มขึ้นจากเดิมย่อมเป็นการสนับสนุนและรับรองสิทธิให้มีการรุกล้ำพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติอันเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น เนื้อที่ที่เพิ่มขึ้นหลังจากที่ จ. แจ้งการครอบครองจนกระทั่งมีการโอนต่อเนื่องกันมาถึงผู้ร้องย่อมมิใช่ที่ดินที่มีการครอบครองและทำประโยชน์อยู่ก่อนวันที่ ป.ที่ดินใช้บังคับ ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินต่อเนื่องมาจากบุคคลดังกล่าวตาม พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน (ฉบับที่ 11) พ.ศ.2551 มาตรา 8 วรรคท้าย ย่อมไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินเนื้อที่ส่วนที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนคำร้องตามมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน (ฉบับที่ 11) พ.ศ.2551 และมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเชียงใหม่ สาขาดอยสะเก็ด ออกโฉนดที่ดินให้แก่ผู้ร้องเนื้อที่ 26 ไร่ 2 งาน 97.6 ตารางวา
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งว่า ผู้ร้องเป็นผู้ซึ่งได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. 1) เลขที่ 24 เนื้อที่ 9 ไร่ 3 งาน 14 ตารางวา โดยชอบด้วยกฎหมาย
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้เป็นว่า ผู้ร้องเป็นผู้ซึ่งได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. 1) เลขที่ 24 โดยชอบด้วยกฎหมาย ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ (ที่ถูก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น)
ผู้ร้องฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. 1) เลขที่ 24 เนื้อที่ 7 ไร่ เดิมมีนายใจ๋เป็นผู้แจ้งการครอบครองไว้เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2498 ต่อมาวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2556 ผู้ร้องซื้อที่ดินดังกล่าวมาจากนายมนตรี และนายมานิตย์ และวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2556 ผู้ร้องยื่นคำขอออกโฉนดที่ดินต่อสำนักงานที่ดินจังหวัดเชียงใหม่ สาขาดอยสะเก็ด วันที่ 27 กันยายน 2556 เจ้าพนักงานที่ดินทำการรังวัดที่ดินตามที่ผู้ร้องนำชี้ได้เนื้อที่ 26 ไร่ 2 งาน 97.6 ตารางวา และสอบสวนสิทธิแล้วเห็นสมควรออกโฉนดที่ดินให้แก่ผู้ร้องเนื้อที่ 9 ไร่ 3 งาน 14 ตารางวา ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่าผู้ร้องเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินเนื้อที่ 26 ไร่ 2 งาน 97.6 ตารางวา ตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน (ฉบับที่ 11) พ.ศ.2551 มาตรา 8
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องมีสิทธิครอบครองที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. 1) เลขที่ 24 เนื้อที่เพียงใด เห็นว่า ที่ดินที่ผู้ร้องอ้างสิทธิครอบครองตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. 1) มีนายใจ๋เป็นผู้แจ้งการครอบครองโดยระบุจำนวนเนื้อที่ดินไว้ประมาณ 7 ไร่ มีรูปที่ดินระบุด้านทิศเหนือและทิศใต้ยาวด้านละประมาณ 3 เส้น 10 วา หรือประมาณ 70 วา ทิศตะวันออกและทิศตะวันตกยาวด้านละประมาณ 2 เส้น หรือประมาณ 40 วา คำนวณเป็นเนื้อที่ประมาณ 2,800 ตารางวา หรือประมาณ 7 ไร่ การคำนวณเนื้อที่จากความยาวในแต่ละด้านของรูปที่ดินที่สอดคล้องกันดังกล่าว มิได้เกิดจากการวัดระยะและคำนวณเนื้อที่ดินผิดพลาดคลาดเคลื่อน และเมื่อคณะกรรมการตรวจพิสูจน์ที่ดินจัดทำความเห็นโดยผ่านขั้นตอนการพิจารณาระวางแผนที่รูปถ่ายทางอากาศหรือระวางรูปถ่ายทางอากาศฉบับที่ทำขึ้นก่อนสุดเท่าที่ทางราชการมีอยู่ การสำรวจ การอ่าน แปล ตีความ และรายงานผลตามหลักวิชาการโดยผู้เชี่ยวชาญหรือผู้มีวิชาชีพในแต่ละสาขานั้นโดยตรง ทั้งผ่านกระบวนการตรวจสอบผลโดยคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญโดยตลอดแล้ว เชื่อว่า มีการครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. 1) เลขที่ 24 เฉพาะส่วนเนื้อที่ 9 ไร่ 3 งาน 14 ตารางวา ซึ่งมีเนื้อที่มากไปกว่าที่นายใจ๋แจ้งการครอบครองทำประโยชน์ที่ดินไว้ และถือว่านายใจ๋แจ้งการครอบครองที่ดินผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงและถือได้ว่านายใจ๋มีสิทธิครอบครองที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. 1) เฉพาะส่วนที่มีการทำประโยชน์จริงในขณะนั้นเนื้อที่ 9 ไร่ 3 งาน 14 ตารางวา ส่วนที่ผู้ร้องมีนายสว่าง เบิกความว่า ที่ดินพิพาทมีการทำประโยชน์ต่อ ๆ กันมาเต็มพื้นที่จนกระทั่งมาถึงผู้ร้อง และนายมนตรี นางพัชรี นางศรีชัย และนางบุญปัน มาเบิกความสนับสนุน ก็รับฟังได้เพียงว่าผู้ร้องครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวต่อเนื่องกันมาโดยตลอด แต่ก็มิใช่พยานที่จะเบิกความยืนยันได้ว่านายใจ๋ครอบครองทำประโยชน์ที่ดินเนื้อที่เพียงใด เมื่อฟังได้ว่านายใจ๋ครอบครองทำประโยชน์ที่ดินในขณะนั้นเนื้อที่ 9 ไร่ 3 งาน 14 ตารางวา ต่อมามีการโอนการครอบครองที่ดินเรื่อยมานับตั้งแต่ปี 2498 จนกระทั่งผู้ร้องรับโอนการครอบครองเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2556 เป็นเวลากว่า 58 ปี เนื้อที่เพิ่มเป็น 26 ไร่ 2 งาน 97.6 ตารางวา หรือเพิ่มขึ้นถึง 16 ไร่ 3 งาน 83.6 ตารางวา เนื้อที่ที่เพิ่มขึ้นนี้จึงมิใช่ที่ดินที่นายใจ๋ครอบครองทำประโยชน์อยู่ก่อนที่ประมวลกฎหมายที่ดินมีผลใช้บังคับตามพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 โดยในมาตรา 3 ให้ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2497 เป็นต้นไป ทั้งยังได้ความตามทางไต่สวนว่า ที่ดินบริเวณดังกล่าวตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าขุนแม่กวง และป่าไม้ถาวรทั้งแปลง ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 712 (พ.ศ.2517) ออกตามความในพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 และมติคณะรัฐมนตรี พ.ศ.2509 ซึ่งตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน (ฉบับที่ 11) พ.ศ.2551 มาตรา 8 วรรคสาม กำหนดให้การพิจารณาพยานหลักฐานของผู้ร้องจะต้องได้ความว่าผู้ร้องเป็นผู้ซึ่งได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่ก่อนวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ และตามวรรคสี่ กำหนดให้การพิจารณาของศาลตามวรรคสาม ให้ศาลแจ้งกรมที่ดินทราบและให้กรมที่ดินตรวจสอบกับระวางแผนที่รูปถ่ายทางอากาศหรือระวางรูปถ่ายทางอากาศฉบับที่ทำขึ้นก่อนสุดเท่าที่ทางราชการมีอยู่ พร้อมทั้งทำความเห็นเสนอต่อศาลว่า ผู้ร้องได้ครอบครองหรือทำประโยชน์ในที่ดินโดยชอบด้วยกฎหมายก่อนวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับหรือไม่ เพื่อประกอบการพิจารณาของศาล ดังนั้น การพิจารณาเนื้อที่ที่ดินจึงต้องพิจารณาเนื้อที่ที่มีการครอบครองทำประโยชน์อยู่ก่อนวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับเป็นสาระสำคัญ มิใช่พิจารณาจากเนื้อที่ที่ครอบครองทำประโยชน์ในขณะขอออกโฉนดที่ดินหรือเอกสารสิทธิ ส่วนเนื้อที่ที่เพิ่มขึ้นในภายหลังย่อมมิใช่ที่ดินที่มีการครอบครองและทำประโยชน์อยู่ก่อนวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ ทั้งหากยินยอมให้มีการครอบครองเนื้อที่เพิ่มขึ้นจากเดิมย่อมเป็นการสนับสนุนและรับรองสิทธิให้มีการรุกล้ำพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติอันเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น เนื้อที่ที่เพิ่มขึ้นหลังจากที่นายใจ๋แจ้งการครอบครองจนกระทั่งมีการโอนต่อเนื่องกันมาถึงผู้ร้องย่อมมิใช่ที่ดินที่มีการครอบครองและทำประโยชน์อยู่ก่อนวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินต่อเนื่องมาจากบุคคลดังกล่าวตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน (ฉบับที่ 11) พ.ศ.2551 มาตรา 8 วรรคท้าย ย่อมไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินเนื้อที่ส่วนที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว และมีสิทธิครอบครองที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. 1) เลขที่ 24 เนื้อที่ 9 ไร่ 3 งาน 14 ตารางวา เท่านั้น ที่ผู้ร้องอ้างคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดมานั้น เป็นประเด็นที่ต้องพิจารณาว่ามีการครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินแล้วจริงหรือไม่ ซึ่งแตกต่างจากข้อเท็จจริงในคดีนี้ที่ต้องพิจารณาว่ามีการครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินอยู่ก่อนวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับเนื้อที่เพียงใด ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษามานั้น ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา พ.39/2564
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ชื่อคู่ความ ผู้ร้อง - นาง ม.
ชื่อองค์คณะ นิพนธ์ พิชยพาณิชย์ กิจชัย จิตธารารักษ์ สิริกานต์ มีจุล
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน ศาลจังหวัดเชียงใหม่ - นางสาวพิมพ์ศศิ จันทร์สว่าง ศาลอุทธรณ์ภาค 5 - นายกัมปนาท วงษ์นรา