คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2685/2518
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 46 พระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ.2498 ม. 54 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 420, 425
ศาลทหารกรุงเทพ (ศาลอาญา) ได้พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานของโจทก์ไม่มั่นคงยังเป็นที่สงสัย ต้องยกประโยชน์ให้เป็นผลดีแก่จำเลย ฉะนั้นในการพิจารณาคดีแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาของศาลทหารตามพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498 มาตรา 54 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ว่า โจทก์ไม่มีพยนมาสืบให้ศาลเห็นว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำผิดตามที่โจทก์ฟ้องที่โจทก์นำพยานอื่นมาสืบในคดีนี้ว่า จำเลยที่ 1 ได้กระทำผิดหรือกระทำละเมิดต่อโจทก์ ศาลจะรับฟังไม่ได้ เพราะขัดกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคดีอาญาดังกล่าวแล้ส เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งโจทก์อ้างว่าเป็นนายข้างจึงไม่ต้องรับผิดไปด้วย
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 2 เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด จำเลยที่ 3 เป็นหุ้นส่วนของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 และที่ 3 จำเลยที่ 1ได้ขับรถยนต์ ในทางการที่จ้างโดยประมาทมิได้หยุดที่ทางสำหรับคนข้ามถนนเป็นเหตุให้ชนเด็กชายราหุล เตมียบุตร บุตรของโจทก์ขณะเดินอยู่ในทางสำหรับคนข้ามถนนถึงแก่ความตาย โจทก์ได้รับความเสียหายรวมเป็นเงิน104,656 บาท ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวพร้อมทั้งดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยที่ 1 ได้ถูกอัยการศาลทหารกรุงเทพเป็นโจทก์ฟ้องศาลทหารกรุงเทพ (ศาลอาญา) ฐานขับรถยนต์โดยประมาทชนผู้อื่นถึงตาย โจทก์คดีนี้ ได้เข้าเป็นโจทก์ร่วมด้วย ศาลทหารกรุงเทพ(ศาลอาญา) ได้พิพากษายกฟ้อง และจำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธความรับผิดในเรื่องอื่น ๆ อีกด้วย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาได้ประชุมปรึกษาแล้วเห็นว่า คดีอาญาของศาลทหารกรุงเทพได้วินิจฉัยว่า นอกจากไม่ได้ความชัดแจงในเรื่องรถที่ชนแล้ว จำเลยจะใช่คนขับรถชนเด็กผู้ตายจริงหรือไม่ โจทก์มีแต่คำให้การชั้นสอบสวนซึ่งจำเลยมิได้รับโดยตรงว่าเป็นคนทำผิดและได้ปฏิเสธคำให้การชั้นศาล พยานโจทก์หลักฐานไม่มั่นคงยังเป็นที่สงสัย จึงพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ ฎีกาของโจทก์ยอมรับว่าคดีนี้เกี่ยวกับคดีอาญาของศาลทหารกรุงเทพดังกล่าว ซึ่งโจทก์คดีนี้ได้เข้าเป็นโจทก์ร่วมและเบิกความในคดีอาญาดังกล่าว ฉะนั้นในการพิจารณาคดีแพ่งเกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาของศาลทหารตามพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498 มาตรา 54 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 46 โดยต้องฟังข้อเท็จจริงตามคดีอาญาว่า โจทก์ไม่มีพยานมาสืบให้ศาลเห็นว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำผิดตามที่โจทก์ฟ้อง ที่โจทก์นำพยานอื่นมาสืบในคดีนี้ว่า จำเลยที่ 1 ได้กระทำผิดหรือกระทำละเมิดต่อโจทก์ศาลจะรับฟังไม่ได้เพราะขัดกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาดังกล่าวแล้ว เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์แล้ว จำเลยที่ 2 และที่ 3 ผู้เป็นเจ้าของรถซึ่งโจทก์อ้างว่าเป็นนายจ้างจะต้องร่วมรับผิดในผลแห่งการละเมิดของจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดไปด้วย ฎีกาของโจทก์ในเรื่องค่าเสียหายจึงตกไป ศาลล่างพิพากษาชอบแล้วฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ชื่อคู่ความ โจทก์ - ร.ต.ต.กฤษณ์ เตมียบุตร จำเลย - นายวิเชียร สายวานิช กับพวก
ชื่อองค์คณะ แผ้ว ศิวะบวร สัญชัย สัจจวานิช สนิท บริรักษ์
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan