สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2544/2530

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2544/2530

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 95 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 227

โจทก์ไม่ได้ตัวผู้เสียหายมาเบิกความเป็นพยานยืนยันว่าจำเลยร่วมกับพวกเป็นคนร้ายที่ปล้นทรัพย์ผู้เสียหาย ที่ผู้เสียหายแจ้งต่อเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมและให้การในชั้นสอบสวนต่อพนักงานสอบสวนว่าจำเลยร่วมกับพวกปล้นทรัพย์นั้น ล้วนแต่เป็นเพียงคำบอกเล่ามีน้ำหนักน้อยพยานหลักฐานของโจทก์จึงยังไม่มั่นคงพอที่จะให้ฟังว่าจำเลยเป็นคนร้ายรายนี้.

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 340 ที่แก้ไขแล้ว และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ จำนวน 1,209 บาทแก่ผู้เสียหาย

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา339 วรรคสองให้จำคุก 10 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ จำนวน1,209 บาท แก่ผู้เสียหาย

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า 'ปัญหาว่าคดีโจทก์รับฟังลงโทษจำเลยฐานชิงทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 ได้หรือไม่ โจทก์คงมีร้อยตำรวจโทประลอง นาคนวม ผู้จับกุมจำเลย และร้อยตำรวจโทสง่ายอดแก้ว พนักงานสอบสวน เป็นพยาน ร้อยตำรวจโทประลอง เบิกความว่าขณะนั่งรถสายตรวจออกตรวจไปตามถนนเจษฎางค์ เห็นผู้เสียหายวิ่งไล่กวดชายสองคนไป เมื่อผู้เสียหายชี้บอกว่าชายสองคนนั้นเอานาฬิกาของผู้เสียหายไป ร้อยตำรวจโทประลองลงจากรถวิ่งไล่ติดตามชายสองคนและจับได้คนหนึ่ง คือ จำเลย เมื่อจับจำเลยแล้วผู้เสียหายบอกร้อยตำรวจโทประลองว่าจำเลยเป็นคนร้ายคนหนึ่งที่เข้ามารัดคอผู้เสียหาย ร้อยตำรวจโทสง่าเบิกความว่าหลังจากรับตัวจำเลยไว้ดำเนินคดีแล้ว ได้สอบสวนผู้เสียหายเป็นพยาน ได้บันทึกคำให้การไว้ตามเอกสารหมาย จ.2 ซึ่งตามบันทึกดังกล่าวผู้เสียหายให้การว่าขณะที่เดินกลับจากบ้านเพื่อนที่หลังวัดป้อมเพื่อจะมาเที่ยวงานที่หน้าศาลากลางจังหวัดสมุทรสาครมีคนร้ายสามคน คนหนึ่งคือจำเลย เดินสวนทางมา จำเลยตรงเข้าใช้มือล็อคคอผู้เสียหาย แล้วพวกจำเลยปลดเอานาฬิกาข้อมือ และล้วงเอาเงินสดในกระเป๋ากางเกงของผู้เสียหายแล้วพากันวิ่งหลบหนี ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยจะเป็นชายคนหนึ่งในจำนวนสองคนที่ถูกผู้เสียหายวิ่งไล่ติดตามแต่แรกหรือไม่ ยังมีเหตุน่าสงสัยอยู่ เพราะร้อยตำรวจโทประลองว่าในคืนเกิดเหตุ มีงานที่หน้าศาลากลางจังหวัดสมุทรสาคร มีคนเดินพลุกพล่านที่บริเวณวัดป้อม ที่วิ่งไล่ติดตามชายสองคนไปนั้นบางจุดก็คลาดสายตากับชายทั้งสองบ้างประกอบกับคดีนี้โจทก์ก็ไม่ได้ตัวผู้เสียหายมาเบิกความเป็นพยานยืนยันว่าจำเลยร่วมกับพวกเป็นคนร้ายรายนี้ ที่ผู้เสียหายแจ้งต่อร้อยตำรวจโทประลองและให้การในชั้นสอบสวนต่อร้อยตำรวจโทสง่าว่าจำเลยร่วมกับพวกปล้นทรัพย์นั้น ล้วนแต่เป็นเพียงคำบอกเล่ามีน้ำหนักน้อยพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบยังไม่มั่นคงพอที่จะให้ฟังว่าจำเลยเป็นคนร้ายรายนี้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น'

พิพากษายืน.

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE