คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2529/2518
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 33 (1), 336 ทวิ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336ทวิ หาได้บัญญัติให้ถือว่ายานพาหนะดังกล่าวในมาตรานี้เป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดด้วยไม่ แต่เป็นเพียงบทบัญญัติถึงเหตุที่จะทำให้ผู้กระทำความผิดต้องระวางโทษหนักขึ้นเท่านั้น ส่วนปัญหาที่ว่ายานพาหนะใดเป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดซึ่งศาลมีอำนาจสั่งริบตามมาตรา 33(1) นั้น ต้องพิจารณาดูตามพฤติการณ์ของการกระทำแต่ละเรื่องไป ว่าผู้กระทำผิดได้ใช้ยานพาหนะนั้นในการกระทำความผิดหรือไม่
จำเลยวิ่งราวสร้อยคอโดยฉกฉวยเอาซึ่งหน้าแล้วพาหนีไปโดยใช้รถจักรยานสองล้อเป็นพาหนะ รถดังกล่าวเป็นเพียงยานพาหนะที่จำเลยใช้ภายหลังการวิ่งราวทรัพย์หาใช่ใช้ในการวิ่งราวทรัพย์ไม่ จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่ศาลมีอำนาจสั่งริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1)
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบังอาจวิ่งราวทรัพย์สร้อยคอทองคำของนายประเสริฐ ตั้งสมชัย โดยจำเลยฉกฉวยเอาซึ่งหน้าแล้วพาหนีไปโดยใช้รถจักรยานสองล้อเป็นพาหนะขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336, 336ทวิ ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 13 และขอให้ริบรถจักรยานของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามมาตรา 78 เหลือจำคุกจำเลย 2 ปี รถจักรยานของกลางมิใช่สิ่งที่ใช้ในการกระทำความผิด ไม่ริบ
โจทก์อุทธรณ์ ขอให้ริบรถจักรยานของกลาง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า บทกฎหมายที่โจทก์ฎีกาว่าใช้เป็นบทลงโทษริบรถจักรยานของกลางรายนี้ได้คือประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 13 ซึ่งบัญญัติเพิ่มเติมมาตรา 336 ทวิขึ้น มาตรา 336 ทวิ นี้มีใจความว่าผู้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336 โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิด หรือการพาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อให้พ้นจากการจับกุม ต้องระวางโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้กึ่งหนึ่ง หาได้บัญญัติให้ถือว่ายานพาหนะนั้นเป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำผิดด้วยไม่ มาตราดังกล่าวจึงเป็นเพียงบทบัญญัติถึงเหตุที่จะทำให้ผู้กระทำต้องระวางโทษหนักขึ้นเท่านั้นส่วนปัญหาที่ว่ายานพาหนะใดเป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำผิดซึ่งศาลมีอำนาจสั่งริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1) นั้นก็ต้องพิจารณาดูตามพฤติการณ์ของการกระทำผิดแต่ละเรื่องไปว่าผู้กระทำผิดได้ใช้ยานพาหนะนั้นในการกระทำความผิดหรือไม่สำหรับคดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยวิ่งราวทรัพย์สร้อยคอทองคำโดยฉกฉวยเอาซึ่งหน้าแล้วพาหนีไปโดยใช้รถจักรยานสองล้อเป็นพาหนะ แสดงว่ารถจักรยานดังกล่าวเป็นเพียงยานพาหนะที่จำเลยใช้ภายหลังการวิ่งราวทรัพย์ หาใช่ใช้ในการวิ่งราวทรัพย์ไม่จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ในเรื่องทรัพย์สินที่ศาลมีอำนาจสั่งริบตามมาตรา 33(1) แห่งประมวลกฎหมายอาญาดังกล่าว ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาไม่ริบรถจักรยานของกลางนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ชื่อคู่ความ โจทก์ - พนักงานอัยการจังหวัดสุพรรณบุรี จำเลย - นายคำภีร์ หงษ์เวียงจันทร์
ชื่อองค์คณะ ประถม วิเชียรเนตร วิทูร เทพพิทักษ์ ล้วน นิลกำแหง
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan