คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2428/2534
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 856, 858, 859
สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเป็นข้อตกลงของคู่สัญญาที่จะให้ มีสัญญาบัญชีเดินสะพัดคือการเบิกเงินเกินบัญชีในบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของลูกหนี้ในธนาคารขึ้นอีกชั้นหนึ่ง เมื่อมีการ ปฏิบัติตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดกันแล้ว การชำระหนี้ย่อมจะต้อง ปฏิบัติ ตามวิธีการของสัญญาบัญชีเดินสะพัดคือให้กระทำเมื่อมีการ หัก ทอน บัญชีกัน และเรียกร้องให้ชำระเงินคงเหลือแล้วนั้น ฉะนั้น เมื่อ ครบกำหนดระยะเวลาที่ระบุไว้ในสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีแล้ว หากคู่สัญญายังคงให้บัญชีเดินสะพัดเดินอยู่ต่อไปก็เห็นได้ว่า คู่สัญญา ยังไม่ถือว่ามีการผิดนัดจนกว่าจะได้มีการหักทอนบัญชีและ เรียกร้องให้ชำระเงินคงเหลือนั้นแล้ว แต่ถ้าหากบัญชีเดินสะพัด ไม่ เดิน ต่อไปแสดงว่าคู่สัญญาให้ถือว่าสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี เป็น อัน สิ้นสุด ลง ตามกำหนดระยะเวลาที่ระบุในสัญญา หลังจากกำหนดระยะเวลาที่ระบุในสัญญากู้เบิกเกินบัญชี สิ้นสุด ลงแล้ว ไม่ปรากฏรายการเดินสะพัดในบัญชีอันจะเป็น หลักฐาน แสดง ว่าโจทก์ได้ยอมให้จำเลยลูกค้าเบิกเงินเกินบัญชี ต่อไป อีก แสดง ว่าคู่สัญญาให้ถือว่าสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี เป็น อัน สิ้นสุด ลง ตาม กำหนดระยะเวลาที่ระบุในสัญญาแล้ว เงินฝากประจำที่จำเลยและ ช. นำมาเป็นประกันการกู้เบิกเงินเกินบัญชีของจำเลย มีข้อตกลงกับโจทก์ว่า หากจำเลยผิดสัญญายินยอมให้โจทก์หักเงินในบัญชีเงินฝากประจำดังกล่าวชำระหนี้เบิกเงินเกินบัญชีของจำเลยได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า เช่นนี้เมื่อสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีสิ้นสุดลงแล้ว จำเลยไม่ชำระ หนี้ย่อมเป็นการ ผิดนัดผิดสัญญา โจทก์ชอบที่จะปฏิบัติตามข้อตกลง โดยหักเงินจากบัญชีเงินฝากประจำของจำเลยและ ช. ชำระหนี้แก่โจทก์.
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำสัญญาบัญชีเดินสะพัดบัญชีกระแสรายวันกับโจทก์ ต่อมาเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2523 จำเลยทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีจากโจทก์จำนวน 700,000 บาท ยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 13 ต่อปี ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นที่โจทก์จะต้องเพิ่มอัตราดอกเบี้ย จำเลยยอมให้โจทก์เพิ่มอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าที่กำหนดไว้ในสัญญาได้ตามที่เห็นสมควรโดยไม่จำต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้าในการกู้เบิกเงินเกินบัญชีดังกล่าว จำเลยและนางช่อลดา ศรีสนั่นนำเงินในบัญชีเงินฝากประจำเลขที่ 5914 และ 3973 ที่ฝากไว้กับโจทก์จำนวน 580,000 บาท และ 120,000 บาท ตามลำดับ มามอบให้โจทก์ยึดถือไว้เพื่อประกันการชำระหนี้ของจำเลย โดยตกลงว่าหากจำเลยผิดสัญญายินยอมให้โจทก์หักเงินในบัญชีเงินฝากดังกล่าวชำระหนี้เบิกเงินเกินบัญชีของจำเลยได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า จำเลยได้เบิกเงินเกินบัญชีโดยออกเช็คสั่งจ่ายเงินตลอดมา แต่จำเลยมิได้ชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ตามสัญญาและมีหนี้ค้างชำระ โจทก์จึงได้หักเงินในบัญชีเงินฝากประจำดังกล่าวชำระหนี้เบิกเงินเกินบัญชีเรื่อยมาเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2527 และวันที่ 26 มกราคม 2527 โจทก์ได้หักเงินฝากประจำดังกล่าวจำนวน 66,825 บาท และ 131,777.88 บาทชำระหนี้เบิกเงินเกินบัญชีของจำเลย แต่ไม่พอชำระหนี้ คงมีหนี้ค้างชำระอยู่อีกเมื่อคิดถึงวันฟ้องจำเลยเป็นหนี้โจทก์ 42,034.73 บาทดอกเบี้ย 7,980.79 บาท รวมเป็นเงิน 50,015.52 บาท ขอให้บังคับจำเลยใช้เงินจำนวน 50,015.52 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 17.5ต่อปี ในต้นเงิน 42,034.73 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 50,015.50 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปี ของเงินจำนวน 42,034.73 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่าจำเลยเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันกับโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.10เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2523 จำเลยทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ และตกลงจะชำระหนี้เบิกเงินเกินบัญชีภายในกำหนด 1 ปีตามเอกสารหมาย จ.4 ในการทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีดังกล่าวจำเลยได้นำบัญชีเงินฝากประจำเลขที่ 5914 ของจำเลย และเลขที่ 3973ของนางช่อลดา ศรีสนั่น ตามเอกสารหมาย จ.8 จ.9 มาค้ำประกันไว้โดยจำเลยและนางช่อลดาทำหนังสือมอบอำนาจให้โจทก์ถอนเงินจากบัญชีเงินฝากประจำดังกล่าวชำระหนี้โจทก์ได้ในกรณีที่จำเลยผิดนัดตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีปรากฏตามเอกสารหมาย จ.6 จ.7 หลังจากนั้นบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของจำเลยได้เดินสะพัดเรื่อยมาจนถึงวันที่30 ธันวาคม 2524 อันเป็นวันครบกำหนดเวลาของสัญญากู้เงินเกินเกินบัญชี ปรากฏยอดหนี้เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2524 เป็นเงิน961,369.82 บาท ตามเอกสารหมาย จ.10 หลังจากนั้นคงมีแต่โจทก์โอนเงินดอกเบี้ยจากบัญชีเงินฝากประจำของจำเลยเลขที่ 5914 มาเข้าบัญชี ต่อจากนั้นก็เป็นการโอนเงินดอกเบี้ยและเงินฝากประจำจากบัญชีเงินฝากประจำของจำเลย และของนางช่อลดาเข้าบัญชีเพื่อชำระหนี้มีปัญหาว่าสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเอกสารหมาย จ.5 สิ้นสุดลงตั้งแต่เมื่อใด พิเคราะห์แล้ว ตามปกติการผิดนัดย่อมเกิดขึ้นทันทีที่ลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ตามกำหนดเวลาในสัญญา แต่กรณีสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเป็นข้อตกลงของคู่สัญญาที่จะให้มีสัญญาบัญชีเดินสะพัดคือการเบิกเงินเกินบัญชีในบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของลูกหนี้ในธนาคารขึ้นอีกขั้นหนึ่ง เมื่อมีการปฏิบัติตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดกันแล้ว การชำระหนี้ย่อมจะต้องปฏิบัติตามวิธีการของสัญญาบัญชีเดินสะพัด คือให้กระทำเมื่อมีการหักทอนบัญชีกันและเรียกร้องให้ชำระเงินคงเหลือแล้วนั้น ฉะนั้นเมื่อครบกำหนดระยะเวลาที่ระบุไว้ในสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีแล้ว หากคู่สัญญายังคงให้บัญชีเดินสะพัดเดินอยู่ต่อไป ก็เห็นได้ว่าคู่สัญญายังไม่ถือว่ามีการผิดนัดจนกว่าจะได้มีการหักทอนบัญชีและเรียกร้องให้ชำระเงินคงเหลือนั้นแล้วแต่ถ้าหากบัญชีเดินสะพัดไม่เดินต่อไป แสดงว่าคู่สัญญาให้ถือว่าสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเป็นอันสิ้นสุดลงตามกำหนดระยะเวลาที่ระบุในสัญญา คดีนี้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า หลังจากกำหนดระยะเวลาที่ระบุในสัญญาสิ้นสุดลงแล้ว คือตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2524 ไม่ปรากฏรายการเดินสะพัดในบัญชีอันจะเป็นหลักฐานแสดงว่าโจทก์ได้ยอมให้จำเลยลูกค้าเบิกเงินเกินบัญชีต่อไปอีก มีแต่ยอดเงินนำเข้าบัญชีแต่ยอดเงินดังกล่าวเป็นการโอนเงินดอกเบี้ยจากบัญชีเงินฝากประจำของจำเลย พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่าคู่สัญญาให้ถือว่าสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเป็นอันสิ้นสุดลงตามกำหนดระยะเวลาที่ระบุในสัญญาตามเอกสารหมาย จ.5 แล้ว ตามคำฟ้องและทางนำสืบของโจทก์ปรากฏว่า เงินฝากประจำที่จำเลยและนางช่อลดานำมาเป็นประกันนั้นมีข้อตกลงกับโจทก์ว่าหากจำเลยผิดสัญญายินยอมให้โจทก์หักเงินในบัญชีเงินฝากประจำดังกล่าวชำระหนี้เบิกเงินเกินบัญชีของจำเลยได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า เมื่อสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีสิ้นสุดลงดังกล่าวแล้ว จำเลยต้องชำระหนี้ให้แก่โจทก์ เมื่อไม่ชำระย่อมเป็นการผิดนัดผิดสัญญา โจทก์จึงชอบที่จะปฏิบัติตามข้อตกลงโดยหักเงินจากบัญชีเงินฝากประจำของจำเลยและนางช่อลดาชำระหนี้แก่โจทก์ ซึ่งปรากฏตามบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของจำเลยเอกสารหมายจ.10 ว่า หลังจากสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีสิ้นสุดลงแล้วแปดวันคือในวันที่ 7 มกราคม 2525 โจทก์ได้นำเงินดอกเบี้ยจากบัญชีเงินฝากประจำของจำเลยเลขที่ 5914 จำนวน 5,634.24 บาท มาหักใช้หนี้โจทก์ อันเป็นการแสดงเจตนาใช้สิทธิตามที่ได้ตกลงกันไว้เพื่อระงับหนี้ที่มีอยู่แล้ว โจทก์น่าจะหักเงินจากบัญชีเงินฝากประจำของจำเลยและทางช่อลดาที่เหลืออยู่ชำระหนี้แก่โจทก์ทั้งหมดข้อเท็จจริงฟังได้ว่าในวันที่ 25 ธันวาคม 2524 บัญชีเงินฝากประจำของจำเลยตามเอกสารหมาย จ.8 มียอดคงเหลือ 841,236.44 บาท และบัญชีเงินฝากของนางช่อลดาในวันที่ 30 ธันวาคม 2524 ตามเอกสารหมายจ.5 ยอดเงินคงเหลือไม่น้อยกว่า 120,000 บาท เมื่อรวมเงินทั้งสองยอดดังกล่าวแล้วจะมีจำนวนเพียงพอชำระหนี้ให้แก่โจทก์ในวันที่สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีสิ้นสุดลง จำเลยจึงไม่เป็นหนี้โจทก์และไม่ต้องรับผิดชำระเงินตามฟ้องให้แก่โจทก์
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์.
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ชื่อคู่ความ โจทก์ - ธนาคาร อาคาร สงเคราะห์ จำเลย - นาย วิชา ญ สกลรักษ์
ชื่อองค์คณะ บุญส่ง วรรณกลาง ประชา บุญวนิช นิเวศน์ คำผอง
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan