สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2355/2531

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2355/2531

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 111, 204, 224, 582 ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ 16 เมษายน พ.ศ.2515

เงินบำเหน็จเป็นผลประโยชน์นอกเหนือไปจากค่าชดเชยซึ่งกฎหมายกำหนดให้นายจ้างจ่ายเมื่อเลิกจ้าง นายจ้างจึงย่อมมีสิทธิที่จะกำหนดวิธีการจ่ายเงินบำเหน็จได้ตามที่เห็นสมควร ดังนั้นข้อบังคับของนายจ้างที่ให้หักค่าชดเชยออกจากเงินบำเหน็จ จึงหาขัดต่อกฎหมายคุ้มครองแรงงานไม่ แต่เมื่อข้อบังคับของนายจ้างมิได้กำหนดให้นายจ้างมีสิทธิหักดอกเบี้ยของค่าชดเชยไว้ด้วยนายจ้างจึงไม่มีสิทธิหักดอกเบี้ยของค่าชดเชยออกจากเงินบำเหน็จ

เมื่อไม่ปรากฏว่าลูกจ้างได้ทวงถามให้นายจ้างชำระสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและเงินบำเหน็จแก่ลูกจ้างเมื่อใด จะถือว่านายจ้างผิดนัดแล้วหาได้ไม่ ลูกจ้างมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยจากต้นเงินทั้งสองจำนวนดังกล่าวตั้งแต่วันฟ้อง.

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยวันที่ 27 พฤษภาคม 2527จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยกล่าวหาว่าร่วมกับพวกลักทรัพย์และยักยอกน้ำมันของจำเลยโดยไม่จ่ายค่าชดเชยและผลประโยชน์ใด ๆ ทั้งไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ขอพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเงินบำเหน็จพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันเลิกจ้างให้ชดใช้ค่าเสียหายในการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมและดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้อง ทั้งนี้จนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าเหตุที่เลิกจ้างเพราะโจทก์กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงมีความประพฤติไม่เหมาะสมและไม่ซื้อสัตย์ร่วมมือกับผู้อื่นทำให้บริษัทได้รับความเสียหาย การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงถูกต้องและเป็นธรรมแล้วโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายใด ๆ จากจำเลยเงินบำเหน็จโจทก์ใช้สิทธิถอนก่อนออกจากงานไปแล้ว 144,480 บาท หากจะได้รับอีกก็ไม่เกิน 436,520บาท เมื่อโจทก์ถูกเลิกจ้างเพราะกระทำผิด จึงต้องคืนเงินที่ใช้สิทธิถอนไปก่อนนั้นแก่จำเลย ขอให้ศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์ และพิพากษาให้จำเลยคืนเงินบำเหน็จจำนวน 144,480 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2526นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่าไม่มีระเบียบให้จำเลยเรียกคืนบำเหน็จได้ขอให้พิพากษายกฟ้องแย้ง

ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าการเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างโดยโจทก์ไม่ได้กระทำละเมิด แต่จำเลยมีเหตุสมควรที่จะไม่ไว้ใจให้โจทก์ทำงานต่อไปจำเลยก็อาจเลิกจ้างโจทก์ได้ มิใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม โจทก์จะได้รับค่าชดเชยจำนวน 84,090 บาทสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 8,876 บาท โจทก์มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จส่วนที่เหลือที่ค้างอยู่ตามคำให้การ 436,520 บาท จำเลยไม่มีสิทธิตามฟ้องแย้ง แต่มีสิทธินำค่าชดเชยมาหักออกได้ เมื่อฟังว่ามิใช่เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหาย พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ 84,090 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จชำระสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 8,876 บาทเงินบำเหน็จจำนวน 436,520 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยมีสิทธิหักค่าชดเชยพร้อมทั้งดอกเบี้ยออกจากเงินบำเหน็จในวันชำระเงินด้วย คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก และให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย

โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่าตามคู่มือระเบียบการทำงานและสวัสดิการพนักงานข้อ 25 ว่าด้วยแผนบำเหน็จรางวัล ข้อ ข.1 การจ่ายผลประโยชน์วรรคสามกำหนดว่า 'ทั้งนี้ถ้าพนักงานที่ออกจากงานเนื่องจาก ฯลฯ การเลิกจ้างได้รับผลประโยชน์จากแผนบำเหน็จน้อยกว่าเงินชดเชยการออกจากงาน หรือเงินชดเชยอื่น ๆ ตามที่กฎหมายกำหนดให้จ่ายบริษัทจะจ่ายเงินชดเชยแต่เพียงอย่างเดียว' และข้อข.5 กำหนดว่า 'นอกเสียจากบริษัทจะพิจารณาตัดสินเป็นอย่างอื่นผลประโยชน์อันพึงได้รับตามแผนนี้จะต้องถูกหักด้วยเงินประเภทต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ ฯลฯ

5.1 เงินที่บริษัทจ่ายตามกฎหมายว่าด้วยข้อผูกพันหรือค่าทดแทน

5.2 เงินที่บริษัทจ่ายตามคำพิพากษาหรือตามคำสั่งศาล

5.3 เงินที่บริษัทจ่ายตามกฎหมายคำสั่งหรือกฎข้อบังคับของรัฐเกี่ยวกับผลประโยชน์เนื่องจากทุพพลภาพเป็นการถาวรและสิ้นเชิงหรือจากการปลดเกษียณหรือมรณกรรม

5.4 เงินชดเชยการออกจากงานที่บริษัทจ่ายตามกฎหมาย' กับข้อ25 ค.8 กำหนดว่า 'บริษัทสงวนสิทธิในการที่จะนำเงินชดเชยที่ได้จ่ายไปตามกฎหมายว่าด้วยการเลิกจ้างและการเกษียณอายุซึ่งมีผลใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นมาหักออกจากเงินผลประโยชน์สุดท้ายตามแผนนี้ ฯลฯ' เช่นนี้เห็นว่าข้อความดังกล่าวเป็นการกำหนดสิทธิของจำเลยที่จะลดเงินบำเหน็จลงเท่าจำนวนค่าชดเชยที่จะได้รับโดยหักค่าชดเชยออกจากเงินบำเหน็จได้อีกทั้งการที่จำเลยออกข้อบังคับว่าด้วยแผนบำเหน็จรางวัลและการจ่ายผลประโยชน์ตามคู่มือระเบียบการทำงานและสวัสดิการ ฯ นั้น เป็นการให้ประโยชน์นอกเหนือไปจากค่าชดเชยซึ่งกฎหมายกำหนดให้จำเลยผู้เป็นนายจ้างจะต้องจ่ายให้แก่โจทก์ผู้เป็นลูกจ้างเมื่อเลิกจ้างเช่นนี้จำเลยผู้เป็นนายจ้างจึงย่อมมีสิทธิที่จะกำหนดวิธีการจ่ายเงินบำเหน็จได้ตามที่เห็นสมควร ข้อบังคับดังกล่าวจึงหาขัดต่อกฎหมายคุ้มครองแรงงานดังโจทก์อุทธรณ์ไม่ ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยหักค่าชดเชยออกจากเงินบำเหน็จในวันชำระเงินด้วยนั้น จึงชอบแล้ว

ตามคู่มือระเบียบการทำงานและสวัสดิการพนักงานข้อ 25 ว่าด้วยแผนบำเหน็จรางวัลและการจ่ายผลประโยชน์หาได้กำหนดสิทธิของจำเลยที่จะหักดอกเบี้ยของค่าชดเชยไว้ในกรณีนี้ด้วยไม่ จำเลยจึงไม่มีสิทธิหักดอกเบี้ยของค่าชดเชยไว้ ดังนั้น ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยหักดอกเบี้ยของค่าชดเชยออกจากเงินบำเหน็จในวันชำระเงินด้วยนั้น จึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา

ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ทวงถามให้จำเลยชำระสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและเงินบำเหน็จแก่โจทก์เมื่อใด จะถือว่าจำเลยผิดนัดแล้วหาได้ไม่ โจทก์จึงมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยจากต้นเงินทั้งสองจำนวนดังกล่าวตั้งแต่วันฟ้อง

พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยหักเฉพาะจำนวนค่าชดเชยออกจากเงินบำเหน็จโดยไม่รวมถึงดอกเบี้ยของค่าชดเชยด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง.

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - นาย ชัยรัตน์ เชยสอาด จำเลย - บริษัท น้ำมัน คาลเท็กซ์ ( ไทย ) จำกัด

ชื่อองค์คณะ สีนวล คงลาภ จุนท์ จันทรวงศ์ จำนง นิยมวิภาต

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE