คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2225/2534
ประมวลรัษฎากร ม. 65 ทวิ, 65 ตรี, 78 บัญชีอัตราภาษีการค้า ประเภท 11 พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการกำหนดค่าใช้จ่ายที่ยอมให้หักจากเงินได้พึงประเมิน (ฉบับที่ 11) พ.ศ.2502 ม. 8 ทวิ
โจทก์ซื้อที่ดินและตึกแถวจำนวน 59 แปลงนำ มาให้ผู้อื่นเช่าเพื่อหาผลประโยชน์ แล้วทยอยขายไปเรื่อย ๆ เป็นการกระทำมุ่งในทางธุรกิจเพื่อหาประโยชน์จึงเป็นการได้ทรัพย์มาโดยมุ่งในทางการค้าหรือหากำไร การเสียภาษีการค้านั้น ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 78 ให้เสียจากรายรับตามอัตราในบัญชีอัตราภาษีการค้า จึงไม่มีค่าใช้จ่าย ที่ จะต้องนำมาหักเพื่อคำนวณภาษีการค้า แต่การเสียภาษีเงินได้ บุคคลธรรมดามีการหักค่าใช้จ่าย ส่วนจะหักได้เพียงใดอยู่ที่ ประเภท เงินได้ของโจทก์ ปรากฏว่าโจทก์ซื้อที่ดินและตึกแถวมาแล้ว ทำการ ซ่อมแซมก่อนที่จะทยอยขายไป ค่าซ่อมแซมจึงถือเป็นรายจ่าย ที่ จะนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายได้แต่เมื่อไม่ปรากฏว่าค่าซ่อมแซมมีจำนวนเท่าใด ก็ย่อมกำหนดค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควรได้ตามพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการกำหนดค่าใช้จ่ายที่ยอมให้หักจากเงินได้พึงประเมิน (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2502มาตรา 8 ทวิ
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีรายรับจากการขายที่ดินซึ่งโจทก์ได้แจ้งเสียภาษีแล้ว เจ้าพนักงานประเมินทำการประเมินโดยกำหนดราคาที่ดินเพิ่ม แล้วประเมินให้โจทก์เสียภาษีเพิ่มขึ้นโดยไม่ชอบโจทก์อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์แล้ว คณะกรรมการดังกล่าวเห็นว่าการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินชอบด้วยกฎหมายขอให้พิพากษาให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ในส่วนที่ให้โจทก์ชำระเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีการค้า พร้อมทั้งเงินเพิ่ม เบี้ยปรับ จำนวน 3,476,382.81 บาท
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์ชอบแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า มีข้อต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์โจทก์ประการแรกว่า การซื้อที่ดินของโจทก์มิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไรหรือไม่ ปรากฏว่าโจทก์ได้ซื้อที่ดินมาเป็นจำนวนถึง 59 แปลง บนที่ดินดังกล่าวมีตึกแถวอยู่ 59 คูหา และให้ผู้อื่นเช่าเพื่อหาผลประโยชน์ และได้ทยอยขายไปเรื่อย ๆ เห็นได้ว่า การกระทำของโจทก์ตั้งแต่เริ่มซื้อที่ดินและตึกแถวมาในครั้งแรกประกอบกับพฤติการณ์ในระยะต่อมาได้ให้เช่าและทยอยขายที่ดินและตึกแถวเป็นการกระทำมุ่งในทางธุรกิจเพื่อหาประโยชน์อันมีมูลค่า จึงเป็นการได้ทรัพย์มาโดยมุ่งในทางการค้าหรือหากำไร แล้ววินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้ขายที่ดินให้นายวิชัยเป็นเงิน 3,000,000 บาท เมื่อรวมกับราคาที่ดินและตึกแถวที่ขายให้นายประคอง นางอ้อยอีก 1 คูหาเป็นเงินได้หรือรายรับของโจทก์เฉพาะที่ขายที่ดินและตึกแถวเป็นเงิน 3,600,000 บาท อุทธรณ์โจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น เมื่อฟังได้เช่นนี้การที่จะนำมาตรา 49 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากรมากำหนดราคาที่ดินและตึกแถวโจทก์ได้หรือไม่ ไม่จำต้องวินิจฉัยอีกต่อไป แล้ววินิจฉัยข้อกฎหมายว่า อุทธรณ์โจทก์ประการสุดท้ายเกี่ยวกับการหักค่าใช้จ่ายการเรียกเก็บภาษีรายนี้มีทั้งภาษีการค้าและภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับภาษีการค้านั้นมาตรา 78 แห่งประมวลรัษฎากร ให้เสียจากรายรับตามอัตราในบัญชีอัตราภาษีการค้า จึงไม่มีค่าใช้จ่ายที่จะต้องนำมาหักในการคำนวณภาษีการค้า ส่วนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะหักค่าใช้จ่ายได้เพียงใดนั้น อยู่ที่ประเภทเงินได้ของโจทก์ในคดีนี้โจทก์มีเงินได้พึงประเมินจากการขายอสังหาริมทรัพย์ในทางการค้าหรือหากำไร จะต้องหักค่าใช้จ่ายตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการกำหนดค่าใช้จ่ายที่ยอมให้หักจากเงินได้พึงประเมิน (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2502 มาตรา 8 ทวิ โดยกำหนดให้หักค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควร ทั้งนี้ให้นำมาตรา 65 ทวิ และมาตรา 65 ตรี แห่งประมวลรัษฎากรมาใช้บังคับโดยอนุโลมตามอุทธรณ์ของโจทก์ขอให้หักค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควรนั้นต้องหักค่าใช้จ่ายให้โจทก์เป็นการเหมาร้อยละ 75 โดยอาศัยบันทึกของกรมสรรพกรด่วนมากที่ กค 0802/7789 ลงวันที่ 3 มิถุนายน 2531 นั้นเห็นว่าแม้จะมีบันทึกเช่นนั้นก็เป็นเรื่องการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ภายในของจำเลยที่ 1 ที่จะหักค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้เสียภาษีเป็นการเฉพาะรายไป ซึ่งอาจจะมีค่าใช้จ่ายแต่ละรายตามความจำเป็นและสมควรไม่เหมือนกันเพราะการหักค่าใช้จ่ายต้องเป็นไปตามกฎหมายคือพระราชกฤษฎีกาฉบับดังกล่าว ซึ่งจะมีความจำเป็นและสมควรเพียงใดนั้นต้องพิจารณาเป็นราย ๆ ไป เมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานสนับสนุนให้เห็นว่าโจทก์ใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควรร้อยละ 75 โจทก์จะขอให้หักค่าใช้จ่ายร้อยละ 75 ของราคาพึงประเมินไม่ได้ แต่ที่เจ้าพนักงานประเมินคิดหักค่าใช้จ่ายให้โจทก์ในราคาที่ดินที่ซื้อมารวมทั้งค่าธรรมเนียมต่าง ๆ โดยเฉลี่ยจากอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดกับจำนวนที่ขายไป คิดเป็นค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ 546,584.83 บาท ตามเอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่ 20 ค่าใช้จ่ายดังกล่าวจะเป็นความจำเป็นและสมควรหรือไม่นั้นก็ต้องพิจารณาจากข้อนำสืบของทั้งสองฝ่ายปรากฏว่านายธงชัย พยานโจทก์เบิกความว่า เมื่อโจทก์ซื้อที่ดินและตึกแถวมาแล้วได้ทำการซ่อมแซมตึกแถวให้อยู่ในสภาพดี โดยกู้เงินจากธนาคารมา 6,000,000 บาท เมื่อซ่อมแซมแล้วจึงนำออกขาย ส่วนนางจันทร์เพ็ญ พยานจำเลยเบิกความว่า ในชั้นไต่สวนนายอดุลย์ มัคโอดี ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ให้ถ้อยคำว่าได้ขายตึกแถวไปตามสภาพเดิมโดยไม่มีการซ่อมแซมคำพยานบุคคลดังกล่าวเห็นว่า ให้การขัดแย้งกันอยู่ แต่พยานจำเลยเป็นเพียงได้รับคำบอกกล่าวจากผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ว่าไม่มีการซ่อมแซม เมื่อพิเคราะห์ถึงสภาพแห่งคดี ปรากฏว่าตึกแถวดังกล่าวโจทก์ได้รับซื้อต่อจากผู้อื่น สภาพเป็นอย่างไรขณะที่ซื้อมาไม่ปรากฏและเมื่อซื้อมาแล้วก็ให้ผู้อื่นเช่า และได้ทยอยขายไปเรื่อย ๆ จนถึงปี พ.ศ. 2525 ก็ได้ขายอีก 6 คูหา เมื่อเป็นตึกแถวที่โจทก์มิได้สร้างใหม่ และให้ผู้อื่นเช่าเป็นเวลาถึง 10 ปี น่าเชื่อว่าได้มีการซ่อมตึกแถวจริง ถึงแม้จะไม่มีรายละเอียดว่าซ่อมส่วนไหนเป็นเงินเท่าใด นายธงชัยเบิกความว่าค่าใช้จ่ายในการซ่อม 6,000,000 บาท จึงรับฟังได้ว่าโจทก์ได้ซ่อมแซมตึกแถวทั้งหมดเสียค่าใช้จ่าย 6,000,000 บาท ในการซ่อมแซมให้คงสภาพเดิม มาตรา 65 ทวิ และ 65 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร ให้ถือเป็นรายจ่ายที่จะนำมาหักค่าใช้จ่ายได้เงินจำนวนนี้โจทก์ย่อมมีสิทธิหักค่าใช้จ่ายได้ แต่เงินจำนวน 6,000,000 บาทจะใช้ซ่อมตึกแถว 6 คูหา ที่ขายไปเป็นจำนวนเท่าใด โจทก์ไม่ได้สืบให้ปรากฏ เมื่อที่ดินและตึกแถวจำนวนทั้งหมด 59 คูหาแต่คดีนี้มีเพียง 6 คูหา จึงเป็นสมควรเฉลี่ยค่าซ่อมให้โจทก์ 610,169.46 บาท คือเป็นค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควรที่โจทก์มีสิทธิจะหักค่าใช้จ่ายเพิ่มได้อีก 610,169.46 บาท อุทธรณ์โจทก์ข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้แก้ไขการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดากับภาษีการค้าของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ในส่วนที่เกี่ยวกับราคาที่ดินและตึกแถวการหักค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาโดยให้คำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีการค้าโจทก์ใหม่ให้ถือราคาที่ดินและตึกแถวเป็นเงิน 3,600,000 บาท ให้หักค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพิ่มขึ้นอีก 610,169.46 บาท คิดเงินเพิ่มตามกฎหมาย ส่วนเบี้ยปรับให้คิดตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ชื่อคู่ความ โจทก์ - นาย วิวัฒน์ สุวรรณนภาศ รี จำเลย - กรมสรรพากร กับพวก
ชื่อองค์คณะ ก้าน อันนานนท์ จรัส อุดมวรชาติ ตัน เวทไว
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan