สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2164/2518

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2164/2518

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 142, 172, 177, 183

โจทก์บรรยายในคำฟ้องมีข้อความชัดเจนว่า จำเลยได้เปิดบัญชีเดินสะพัดเงินฝากกระแสรายวันไว้กับโจทก์ และได้ตกลงขอเบิกเงินเกินบัญชีจากโจทก์. แล้วจำเลยได้นำเงินสดและเช็คเข้าฝากและสั่งจ่ายเช็คเบิกเงินจากบัญชีเป็นการหมุนเวียนเดินสะพัดเรื่อยมา เมื่อตัดทอนแล้วเป็นหนี้โจทก์จำนวนหนึ่ง ขอให้จำเลยชำระหนี้ดังกล่าว ดังนี้ คำฟ้องได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น แม้โจทก์จะมิได้กล่าวถึงเช็คที่อ้างว่าจำเลยสั่งจ่ายเงินเป็นเช็คเลขที่เท่าใด เมื่อใด ก็เป็นรายละเอียดที่จะต้องนำสืบกันในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม

การที่จำเลยนำสืบว่า จำเลยพาคนมาฝากเงินได้รับค่านายหน้าแล้วโจทก์จะนำไปหักหนี้ของจำเลย จำเลยจึงไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ นั้น จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ให้เป็นประเด็นไว้ในคำให้การ จึงไม่มีประเด็นที่จะนำสืบ

โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดในหนี้สินที่จำเลยเบิกเงินเกินบัญชี มิได้ฟ้องว่ากรรมการผู้จัดการธนาคารโจทก์อนุญาตให้จำเลยเบิกเงินเกินบัญชีเกินขอบอำนาจ ทำให้โจทก์เสียหาย จึงไม่มีข้อต้องพิจารณาว่าการกระทำของกรรมการผู้จัดการธนาคารโจทก์เป็นการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงอันจำเลยจะไม่ต้องรับผิด

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นธนาคารพาณิชย์ จำเลยเป็นลูกค้าโจทก์จำเลยได้เปิดบัญชีเดินสะพัดเงินฝากกระแสรายวันไว้กับโจทก์โดยตกลงยอมปฏิบัติภายในประเพณีนิยมและวิธีปฏิบัติงานของธนาคารและยอมรับผิดชำระเงินที่โจทก์จ่ายให้เกินบัญชีพร้อมด้วยดอกเบี้ยจำเลยนำเงินสดและเช็คฝากเข้าบัญชีและสั่งจ่ายเช็คเบิกเงินจากบัญชีเป็นการหมุนเวียนเดินสะพัดเรื่อยมา ต่อมาจำเลยมิได้นำเงินฝากเข้าบัญชีหรือเบิกเงินอีก โจทก์จึงฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ที่ตัดบัญชีแล้ว

จำเลยให้การว่า ได้เปิดบัญชีกระแสรายวันกับโจทก์ แต่ไม่ได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี เมื่อจำเลยออกเช็คสั่งจ่ายเงินเกินยอดที่มีอยู่ โจทก์น่าจะได้ทักท้วง จึงเป็นความผิดของโจทก์เองและจำเลยไม่ต้องรับผิด และตัดฟ้องว่าฟ้องเคลือบคลุมเพราะไม่ปรากฏชัดแจ้งว่าเช็คที่อ้างว่าจำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายเป็นเช็คเลขที่เท่าใด

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าฟ้องไม่เคลือบคลุมและฟังว่าจำเลยได้เปิดบัญชีเดินสะพัดเงินฝากกระแสรายวันกับโจทก์และเบิกเงินเกินบัญชีไปจากโจทก์ พิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องมีข้อความชัดเจนว่าจำเลยได้ปิดบัญชีเดินสะพัดเงินฝากกระแสรายวันไว้กับโจทก์ และได้ตกลงขอเบิกเงินเกินบัญชีจากโจทก์ แล้วจำเลยได้นำเงินสดและเช็คเข้าฝากและสั่งจ่ายเช็คเบิกเงินจากบัญชีเป็นการหมุนเวียนเดินสะพัดเรื่อยมา เมื่อตัดบัญชีแล้วจำเลยเป็นลูกหนี้โจทก์ เช่นนี้ย่อมเป็นคำฟ้องที่สมบูรณ์ชอบด้วยกฎหมายแล้วแม้ฟ้องโจทก์มิได้กล่าวถึงเช็คที่อ้างว่าจำเลยสั่งจ่ายเงินเป็นเช็คเลขที่เท่าใด เมื่อใด นั้น เป็นข้อรายละเอียดที่จะต้องนำสืบกันในชั้นพิจารณาฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ที่จำเลยนำสืบว่าจำเลยพาคนมาฝากเงินประจำกับโจทก์ได้รับค่านายหน้า ซึ่งโจทก์จะนำเข้าบัญชีหักหนี้ของจำเลย จำเลยจึงไม่ได้เป็นหนี้โจทก์นั้น จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ให้เป็นประเด็นในคำให้การ จึงไม่มีประเด็นที่จำเลยจะนำสืบในข้อดังกล่าวได้ และคดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดในหนี้สินที่จำเลยเบิกเงินเกินบัญชีไปจากโจทก์มิได้ฟ้องว่านายชะนะอนุญาตให้จำเลยเบิกเงินเกินบัญชีเกินขอบอำนาจจึงไม่มีข้อต้องพิจารณาว่าการกระทำของนายชะนะเป็นการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงอันจำเลยต้องรับผิดหรือไม่

พิพากษายืน

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - บริษัทธนาคารแห่งเอเซียเพื่อการอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม จำกัด จำเลย - นายเลิศวงศ์ วงศ์ฉัตรชัย

ชื่อองค์คณะ ไพโรจน์ ไวกาสี ประพจน์ ถิระวัฒน์ สมคิด มงคลชาติ

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE