สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2088/2532

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2088/2532

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 86, 87, 95 พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 ม. 10 วรรคสอง พระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ.2503 ม. 7

จำเลยนำสินค้าคาร์บอลสตีลราวน์บาร์ล โลหะเหล็กกล้าชนิดแอลลอยประเภทพิกัดที่73.15ง. เข้ามาในราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2517 เจ้าหน้าที่ของโจทก์ได้ผ่านใบขนสินค้าและรับชำระอากรขาเข้า ภาษีการค้ากับภาษีบำรุงเทศบาลแล้ว ต่อมาในปี พ.ศ. 2518 จำเลยนำสินค้าโลหะเหล็กกล้าชนิดแอลลอยที่มีชื่ออย่างเดียวกันเข้ามาในราชอาณาจักรอีก เจ้าหน้าที่โจทก์ได้ตรวจสอบวิเคราะห์สินค้าดังกล่าว แล้วเรียกเก็บอากรขาเข้าในประเภทพิกัด73.10 โจทก์จะเอาผลการวิเคราะห์สินค้าที่จำเลยนำเข้าในปี พ.ศ. 2518 ไปเรียกให้จำเลยชำระอากรเพิ่มเติมในพิกัดที่ 73.10 สำหรับสินค้าที่จำเลยนำเข้าเมื่อวันที่ 1ธันวาคม 2517 หาได้ไม่.

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2517 จำเลยได้สั่งและนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร โดยจำเลยได้ยื่นใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าเลขที่ 127-02946 ต่อโจทก์ที่ 1 สำแดงรายการสินค้าว่า "Carbon Steel Round Bars 19 mm., 22 mm.,25mm.,"โลหะเหล็กกล้าชนิดแอลลอย ประเภทพิกัดที่ 73.15 D. อัตราอากร 2 เปอร์เซ็นต์ เป็นเงินอากรขาเข้า 19,039.82 บาท ภาษีการค้า70,276.42 บาท และภาษีบำรุงเทศบาล 7,027.64 บาท จำเลยได้ชำระเงินภาษีอากรและรับสินค้าไปแล้วเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2517 ต่อมาเจ้าหน้าที่ของโจทก์ที่ 1 ตรวจพบว่าจำเลยสำแดงชนิดของสินค้าประเภทพิกัดอัตราอากรคลาดเคลื่อนเป็นเหตุให้จำเลยชำระภาษีอากรไม่ถูกต้อง เพราะสินค้าดังกล่าวเป็นเหล็กกล้าที่ทำเป็นท่อน มีหน้าตัดตันเป็นรูปวงกลมประกอบด้วยธาตุต่าง ๆ มีน้ำหนักตามส่วนไม่ถึงจำนวนเปอร์เซ็นต์ตามที่พระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2503ภาค 2 พิกัดอัตราอากรขาเข้าตอนที่ 73 หมายเหตุที่ 1 (ง) และ 1 (จ)ได้กำหนดไว้สำหรับโลหะผสมเหล็กกล้า (แอลลอยสตีล) และเหล็กกล้าที่มีธาตุคาร์บอนสูง (ฮายคาร์บอนสตีล) ตามประเภทพิกัดที่ 73.15สินค้าของจำเลยดังกล่าวจึงมิใช่โลหะผสมเหล็กกล้า (แอลลอยสตีล)หรือเหล็กกล้าที่มีธาตุคาร์บอนสูง (ฮายคาร์บอนสตีล) ตามประเภทพิกัดที่ 73.15 แต่จัดอยู่ในประเภทพิกัดที่ 73.10 เพราะตามหมายเหตุ 1 (บ)ประเภทพิกัดที่ 73.10 หมายถึงเหล็กกล้าที่ทำเป็นท่อนมีหน้าตัดตันเป็นรูปวงกลม ซึ่งไม่เข้าลักษณะใดตามหมายเหตุ (ซ), (ญ), (ด),(ต), (ถ), (ท) และ (น) โจทก์ที่ 1 จึงได้มีคำสั่งให้จัดสินค้าของจำเลยดังกล่าวเข้าอยู่ในประเภทพิกัดที่ 73.10 อัตราอากร20 เปอร์เซ็นต์ จำเลยต้องชำระอากรขาเข้าเพิ่ม 171,358.40 บาทภาษีการค้า 12,401.72 บาท และภาษีบำรุงเทศบาล 1,240.17 บาท และการที่จำเลยสำแดงพิกัดอัตราศุลกากรคลาดเคลื่อนไม่ถูกต้องดังกล่าวจำเลยต้องเสียเงินเพิ่มอากรอีก 205,630.08 บาท เงินเพิ่มภาษีการค้า12,401.72 บาท และเงินเพิ่มภาษีบำรุงเทศบาล 1,240.17 บาท รวมเป็นเงินภาษีอากรและเงินเพิ่มที่จำเลยต้องชำระทั้งสิ้น 404,272.26 บาทโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยชำระแล้วจำเลยทราบแล้วแต่ไม่ชำระ ขอให้จำเลยชำระเงินอากรขาเข้า ภาษีการค้า ภาษีบำรุงเทศบาลพร้อมเงินเพิ่มรวมจำนวน 404,272.26 บาท แก่โจทก์ กับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยให้การว่า จำเลยมิได้สำแดงชนิดของสินค้า ประเภทพิกัดอัตราอากรคลาดเคลื่อนตามที่โจทก์ฟ้อง พนักงานของโจทก์เห็นว่าสินค้าของจำเลยเป็นเหล็กกล้าชนิด แอลลอยสตีลได้ให้จำเลยเสียภาษีศุลกากรพิกัดอัตราศุลกากรขาเข้า ตอนที่ 73 หมายเหตุ ที่ 1 (ง)ตามพิกัดโลหะผสมเหล็กกล้า (แอลลอยสตีล) ตามประเภทที่ 73.15จำเลยได้เสียภาษีศุลกากร อากรขาเข้าและภาษีสรรพากร ภาษีการค้าภาษีบำรุงเทศบาลให้โจทก์ไปแล้ว การที่โจทก์เรียกร้องค่าภาษีเพิ่มโดยแจ้งว่าจำเลยสำแดงชนิดของสินค้าประเภทพิกัดอัตราอากรคลาดเคลื่อนเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต ทำให้จำเลยเสียหายเพราะได้คำนวณต้นทุนการผลิตสินค้าจากภาษีอากรที่โจทก์เรียกเก็บจากจำเลยและจำหน่ายสินค้าไปหมดแล้ว โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าสินค้าเหล็กกล้าของจำเลยมีส่วนผสมตามฟ้องนั้นได้มาจากหลักฐานอะไร จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุมและคดีของโจทก์ขาดอายุความแล้ว ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว เห็นโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้อง

โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "…ข้อเท็จจริงได้ความว่า เมื่อวันที่1 ธันวาคม 2517 จำเลยได้นำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร โดยสำแดงในใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าว่า เป็นสินค้าคาร์บอนสตีล ราวน์ บาร์ล โลหะเหล็กกล้าชนิดแอลลอยประเภทพิกัดที่73.15 ง. เจ้าหน้าที่ของโจทก์ที่ 1 ได้ผ่านใบขนสินค้าและรับชำระอากรขาเข้า ภาษีการค้ากับภาษีบำรุงเทศบาลไว้ตามเอกสารหมายจ.1 และตรวจปล่อยสินค้าให้แก่จำเลยแล้ว ต่อมาในปี พ.ศ. 2518จำเลยนำสินค้าโลหะเหล็กกล้าชนิดแอลลอยเข้ามาในราชอาณาจักรอีกเจ้าหน้าที่ของโจทก์ที่ 1 ยกเรื่องที่จำเลยเสียภาษีอากรครั้งก่อนในประเภทพิกัดที่ 73.15 ง. ว่าไม่ถูกต้อง ที่ถูกต้องเสียในประเภทพิกัดที่73.1ได้มีการเสนอเรื่องไปตามกองที่เกี่ยวข้อง จนในที่สุดกรมศุลกากรโจทก์ที่ 1 ได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2518ให้จำเลยเสียภาษีอากรในประเภทพิกัดที่ 73.15 ง. และส่งเรื่องไปให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดเก็บภาษีอากรสินค้าชนิดนี้ตามประเภทพิกัดดังกล่าว แต่กองวิเคราะห์สินค้าได้ยกเรื่องขึ้นทักท้วงว่าคำสั่งของกรมศุลกากรที่สั่งให้จัดเก็บภาษีในประเภทพิกัดดังกล่าวไม่ถูกต้อง ที่ถูกต้องจัดเก็บในประเภทพิกัดที่ 73.10 จึงมีการสอบถามไปยังสภาความร่วมมือทางศุลกากรที่กรุงบรัสเซลล์ประเทศเบลเยี่ยม แล้วเสนอรายงานไปยังคณะกรรมการพิจารณาปัญหาพิกัดอัตราศุลกากร ซึ่งมีมติให้จัดสินค้าดังกล่าวเข้าในประเภทพิกัดที่73.10 เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2524 กองพิกัดอัตราศุลกากรจึงได้ส่งเรื่องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดเก็บภาษีอากรตามมติของคณะกรรมการ และกรมศุลกากร โจทก์ที่ 1 ได้มีคำสั่งให้ยกเลิกคำสั่งเดิมโดยให้จัดเก็บใหม่ในประเภทที่ 73.10 ต่อมาวันที่9 พฤศจิกายน 2526 เจ้าหน้าที่ของโจทก์ที่ 1 ได้แจ้งให้จำเลยนำเงินค่าภาษีอากรไปชำระเพิ่มตามเอกสารหมาย จ.7 แต่จำเลยไม่ชำระ

มีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองในประการแรกว่า โจทก์ทั้งสองมีอำนาจฟ้องให้จำเลยชำระภาษีอากรเพิ่มขึ้นตามฟ้องหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้โจทก์ที่ 1 จะมีอำนาจเรียกเก็บอากรขาเข้าให้ถูกต้องตามความในพระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช 2469 มาตรา 10 วรรคสองซึ่งบัญญัติว่า "ถ้าค่าภาษีที่ได้เสียไว้ไม่ครบถ้วนตามจำนวนที่จะต้องเสียจริง กรมศุลกากรมีสิทธิเรียกเก็บส่วนที่ขาดจนครบ ฯลฯ"และตามพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2503 มาตรา 7 บัญญัติว่า"การสำแดงรายการในใบขนสินค้าขาเข้าและใบขนสินค้าขาออกนั้น มิให้ถือว่าบริบูรณ์ นอกจากจะสำแดงประเภทของและเกณฑ์ปริมาณที่ต้องใช้ในการเก็บอากรให้ถูกต้องครบถ้วนตามที่จำแนกและกำหนดไว้ในพิกัดอัตราอากรแนบท้ายพระราชกำหนดนี้" ก็ตาม แต่สินค้าของจำเลยรายพิพาทซึ่งจำเลยได้นำเข้าตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2517 และจำเลยได้สำแดงรายการในใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าซึ่งเจ้าหน้าที่ของโจทก์ได้ผ่านใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าและรับชำระอากรขาเข้า ภาษีการค้ากับภาษีบำรุงเทศบาลแล้วตามเอกสารหมาย จ.1 จนกระทั่งจำเลยได้นำสินค้าที่เรียกชื่ออย่างเดียวกันเข้ามาในราชอาณาจักรเมื่อประมาณต้นปี 2518 จึงได้มีการยกเรื่องการเสียภาษีในสินค้ารายพิพาทว่า ที่สินค้ารายพิพาทเสียภาษีในพิกัด 73.15 ง.นั้นไม่ถูกต้องที่ถูกต้องเสียภาษีในพิกัด 73.10 แต่ไม่ปรากฏว่าได้มีการวิเคราะห์สินค้ารายพิพาทแต่อย่างใด คงปรากฏแต่จากคำเบิกความของนายสุชัย พูนพานิชผลหัวหน้าหน่วยตรวจสอบพิกัดพยานโจทก์เพียงว่า โจทก์ที่ 1 ได้ชักตัวอย่างสินค้าที่จำเลยนำเข้าในปี 2518 มาตรวจสอบเท่านั้นการวิเคราะห์ตามเอกสารหมาย จ.4 ก็เป็นการวิเคราะห์เฉพาะสินค้ารายที่นำเข้าในปี 2518 เท่านั้น ซึ่งผลของการวิเคราะห์สินค้าตามเอกสารหมาย จ.4 ก็ปรากฏผลแต่เพียงว่า "เห็นควรจัดเหล็กรายนี้เข้าประเภทที่ 73.10" การวิเคราะห์สินค้าดังกล่าว จึงเห็นได้ชัดว่าเป็นการวิเคราะห์สำหรับสินค้าที่นำเข้าในปี 2518 หาได้มีการวิเคราะห์สินค้ารายพิพาทไม่ ดังนั้น จึงนำเอาผลการวิเคราะห์สินค้าที่จำเลยนำเข้าในปี 2518 ไปใช้ถึงสินค้ารายพิพาทด้วยไม่ได้ทั้งไม่ปรากฏว่าสินค้าทั้งสองรายเป็นสินค้าในพิกัดประเภทเดียวกัน แม้การวิเคราะห์สินค้าที่นำเข้าครั้งหลังนี้จะผ่านคณะกรรมการพิจารณาปัญหาพิกัดอัตราศุลกากร และมีการให้ยกเลิกคำสั่งของโจทก์ที่ 1ซึ่งสั่งเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2518 ที่ให้จัดสินค้ารายพิพาทอยู่ในพิกัดประเภทที่ 73.15 ง. ก็หาอาจถือเอาโดยปริยายว่าเป็นการวิเคราะห์สินค้ารายพิพาทด้วยได้ไม่ เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่าสินค้ารายพิพาทเป็นสินค้าที่จัดอยู่ในประเภทพิกัดที่ 73.10ซึ่งจำเลยได้เสียภาษีไว้ไม่ครบถ้วนจึงไม่มีภาษีที่ขาดที่จะให้โจทก์ที่ 1 เรียกเก็บเพิ่มได้อีกตามฟ้อง ดังนั้นจึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ทั้งสองในปัญหาอื่นต่อไปอีก…"

พิพากษายืน

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan

แหล่งที่มา สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ชื่อคู่ความ โจทก์ - กรมศุลกากร ที่ 1 กับพวก จำเลย - บริษัท ทอง แสน สุข จำกัด

ชื่อองค์คณะ วิฑูรย์ ตั้งตรงจิตต์ ประวิทย์ ขัมภรัตน์ เดชา สุวรรณโณ

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE