สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2071/2532

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2071/2532

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 137, 267, 268 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 2 (4), 28 (2)

จำเลยที่1กู้เงินโจทก์โดยนำโฉนดที่ดินของจำเลยที่1ที่2มาให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกันต่อมาจำเลยที่1ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่าโฉนดที่ดินดังกล่าวถูกไฟไหม้หายไปแล้วจำเลยที่1ได้คัดรายงานประจำวันไปแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อขอออกใบแทนโฉนดและจำเลยทั้งสี่ให้ถ้อยคำยืนยันต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าโฉนดที่ดินถูกไฟไหม้สูญหายไปซึ่งเป็นความเท็จความจริงโฉนดดังกล่าวอยู่ที่โจทก์ดังนี้การแจ้งความเท็จดังกล่าวเป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสี่กระทำต่อเจ้าพนักงานและตามคำแจ้งความก็มิได้แจ้งเจาะจงกล่าวถึงโจทก์อันจะถือว่าโจทก์ได้รับความเสียหายโดยตรงอีกทั้งโจทก์ก็ไม่มีสิทธิที่จะบังคับเอากับโฉนดที่ดินดังกล่าวได้ตามกฎหมายโจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายและไม่มีอำนาจฟ้อง

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137, 172, 267, 268, 83 ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ปัญหาในชั้นฎีกามีเพียงว่า โจทก์เป็นผู้เสียหายหรือไม่ ตามทางไต่สวนมูลฟ้องได้ความว่า เมื่อ พ.ศ. 2520จำเลยที่ 1 กู้เงินจากโจทก์ไป 61,000 บาท ได้ทำสัญญากู้ให้แก่โจทก์ไว้ และเอาเรือบรรทุกทรายให้โจทก์เป็นประกัน ต่อมาจำเลยที่ 1ได้ขอเอาเรือไปใช้ แล้วจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้หายไปพร้อมกับเรือดังกล่าว โจทก์ได้ร้องทุกข์และเจ้าพนักงานตำรวจได้จับตัวจำเลยที่ 1จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นสามีจำเลยที่ 1 ติดต่อขอให้โจทก์ถอนคำร้องทุกข์โดยจำเลยที่ 2 จะนำโฉนดที่ดินซึ่งเป็นของจำเลยที่ 1 ที่ 2 มาทำสัญญาขายฝากไว้กับโจทก์เป็นประกันการกู้เงินดังกล่าว ในการนี้จำเลยที่ 2ได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 ไปทำสัญญาขายฝากกับโจทก์โจทก์จึงถอนคำร้องทุกข์ แต่ทำการจดทะเบียนขายฝากไม่ได้เพราะลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 ไม่เหมือนเดิม จำเลยที่ 1 บอกโจทก์ว่าไม่เป็นไรเพราะสัญญากู้ยังมีอยู่ ต่อมาโจทก์ติดตามทวงถามให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินกู้ จำเลยที่ 1 ท้าให้โจทก์ฟ้อง โจทก์จึงได้ไปตรวจค้นที่สำนักงานทะเบียนที่ดิน ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้ขอออกใบแทนโฉนดดังกล่าวและโอนให้แก่ผู้อื่นไป โดยจำเลยที่ 1 ได้ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่าโฉนดหายไป แล้วจำเลยที่ 1 ได้คัดรายงานประจำวันดังกล่าวไปแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อขอออกใบแทนโฉนด เจ้าพนักงานที่ดินได้ทำการสอบสวนจำเลยทั้งสี่ จำเลยทั้งสี่ให้ถ้อยคำยืนยันว่าโฉนดดังกล่าวถูกไฟไหม้ไปซึ่งเป็นเท็จความจริงโฉนดดังกล่าวอยู่ที่โจทก์ โดยจำเลยที่ 1 มอบให้โจทก์ไว้ในวันไปทำสัญญาขายฝาก

พิเคราะห์แล้วเห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 แจ้งความเท็จต่อพนักงานสอบสวนว่า โฉนดที่ดินถูกไฟไหม้ และจำเลยที่ 1 ใช้รายงานประจำวันที่พนักงานสอบสวนได้ทำขึ้นนำไปยื่นต่อเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อขอออกใบแทนโฉนด ตลอดจนการที่จำเลยทั้งสี่ได้ให้ถ้อยคำต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าโฉนดถูกไฟไหม้ไปอันเป็นเท็จ ทำให้เจ้าพนักงานที่ดินหลงเชื่อออกใบแทนโฉนดให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 แล้วจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินดังกล่าวให้แก่บุคคลอื่นไปนั้น โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายในกรณีดังกล่าว เพราะการแจ้งความเท็จดังกล่าวเป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสี่กระทำต่อเจ้าพนักงาน และตามคำแจ้งความก็มิได้แจ้งเจาะจงกล่าวถึงโจทก์ อันจะถือว่าโจทก์ได้รับความเสียหายโดยตรง อีกทั้งโจทก์ก็ไม่มีสิทธิที่จะบังคับเอากับโฉนดที่ดินดังกล่าวได้ตามกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์นั้นชอบแล้วฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น"

พิพากษายืน

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan

แหล่งที่มา เนติบัณฑิตยสภา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - นาง สุพร วัชรพิจารณ์หรือวิสุทธิสุรพูล จำเลย - นาง ปราณีหรือสุปราณี สุภาพ กับพวก

ชื่อองค์คณะ ประมาณ ชันซื่อ มาโนช เพียรสนอง เจริญ นิลเอสงฆ์

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE