สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2036/2518

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2036/2518

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 140, 1299, 1329

ส.ภริยาโจทก์ได้ขายที่พิพาทให้แก่ก.กับพวกไปโดยโจทก์มิได้ให้ความยินยอม โจทก์ฟ้อง ส.และก.กับพวกเป็นคดีแรกขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายเสีย ปรากฏว่า ก. กับพวกขายที่พิพาทแก่จำเลยที่ 1 ไปแล้วโจทก์จึงขอให้ศาลเรียกจำเลยที่ 1 เข้าเป็นจำเลยร่วมในคดีนั้น ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น เป็นว่า นิติกรรมซื้อขายที่ดินระหว่าง ส. กับ ก. และพวก เป็นโมฆะ ให้เพิกถอนเสีย และเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายระหว่าง ก. กับพวก กับจำเลยที่ 1 เสียด้วย ศาลฎีกาพิพากษายืน ขณะที่คดีแรกอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา จำเลยที่ 1 ได้ขายฝากที่พิพาทแก่จำเลยที่ 2 และที่พิพาทหลุดเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 แล้ว โจทก์จึงฟ้องคดีนี้ให้ทำลายนิติกรรมการขายฝากระหว่างจำเลยทั้งสองเสียดังนี้ การที่โจทก์ฟ้อง ส. กับพวก ขอให้เพิกถอนนิติกรรมอันเป็นโมฆียะในคดีแรกนั้น ถือได้ว่าโจทก์ได้บอกล้างนิติกรรมแล้ว เมื่อในที่สุดศาลพิพากษาว่านิติกรรมดังกล่าวเป็นโมฆะ นิติกรรมนั้นย่อมเป็นโมฆะมาแต่เริ่มแรก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 138 วรรคแรกการที่ ก.กับพวก โอนขายที่พิพาทให้จำเลยที่ 1 ก็ดี หรือจำเลยที่ 1ขายฝากที่พิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 ก็ดี เป็นอันใช้ยันโจทก์ไม่ได้ เพราะการขายต่อ ๆ มา จำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจที่จะโอนขายได้ เข้าหลักที่ว่าผู้รับโอนไม่มีอำนาจดีกว่าผู้โอน เพราะนิติกรรมอันเดิมเป็นโมฆะมาแต่เริ่มแรกเสียแล้ว โจทก์ย่อมใช้สิทธิตามเอาทรัพย์สินตามมาตรา 1336 ได้ กรณีเช่นนี้ จะนำมาตรา 1299 และ 1300 มาปรับแก่คดีหาได้ไม่ ส่วนมาตรา 1329 นั้น ต้องได้ความว่า ได้ทรัพย์สินมาในระหว่างที่ยังไม่มีการบอกล้างโมฆียะกรรม ถ้าได้มาภายหลังล้างโมฆียะกรรมแล้ว ย่อมไม่ได้รับความคุ้มครอง

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องและเพิ่มเติมฟ้องว่า โจทก์กับนางสำเภา รักษ์เจริญ เป็นสามีภรรยากันโดยจดทะเบียนสมรส เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2507 นางสำเภารักษ์เจริญ ภรรยาโจทก์ได้ทำสัญญาขายกรรมสิทธิ์ที่ดินสินสมรสให้แก่นายการิม เกิดอยู่ นายมะหะหมุด เกิดอยู่ และนายไฮดิน เกิดอยู่ โดยมิได้รับความยินยอมจากโจทก์ผู้เป็นสามี โจทก์จึงฟ้องขอให้ศาลพิพากษาทำลายนิติกรรมการซื้อขายดังกล่าว คดีอยู่ระหว่างพิจารณา ปรากฏว่าผู้ซื้อทั้งสามได้ขายที่ดินรายพิพาทให้นายสหาก ขำวิลัย จำเลยที่ 1 ในคดีนี้โจทก์ได้ขอให้ศาลเรียกนายสหาก ขำวิลัย เข้าเป็นจำเลยร่วม ศาลมีคำสั่งอนุญาต และศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาให้ทำลายนิติกรรมการซื้อขายฉบับลงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2507 และให้ทำลายสัญญาการซื้อขายฉบับลงวันที่ 29 เมษายน 2507 ระหว่างนายการิม เกิดอยู่ นายมะหะหมุดเกิดอยู่ และนายไฮดิน เกิดอยู่ ผู้ขาย จำเลยที่ 1 คดีนี้ผู้ซื้อ ศาลฎีกาได้พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ปรากฏตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 52/2508 ของศาลจังหวัดนครนายก ขณะที่คดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา จำเลยที่ 1 คดีนี้ได้มีเจตนาทุจริต สมคบกับจำเลยที่ 2ทำสัญญาจดทะเบียนขายฝากที่ดินรายพิพาทซึ่งจำเลยรู้แล้วว่าไม่มีสิทธิที่จะทำการขายฝากได้ ปรากฏตามสัญญาขายฝากฉบับลงวันที่ 17 กุมภาพันธ์2510 โจทก์จึงได้ฟ้องจำเลยทั้งสองในคดีนี้เป็นคดีอาญา ปรากฏตามสำนวนคดีอาญาหมายเลขดำที่ 389/2510 จำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิที่จะทำนิติกรรมโอนสิทธิในที่ดินรายพิพาทไปยังจำเลยที่ 2 ได้ โจทก์ได้ส่งคำบอกล้างนิติกรรมไปยังจำเลยที่ 2 แล้ว ขอให้ศาลพิพากษาทำลายนิติกรรมการขายฝากฉบับลงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2510 ของจำเลยทั้งสอง และให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครนายกถอนชื่อจำเลยที่ 2ออกจากโฉนดที่พิพาท และใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับนางสำเภา รักษ์เจริญ ต่อไป และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนโจทก์

จำเลยทั้งสองให้การทำนองเดียวกัน ใจความสำคัญว่า จำเลยที่ 1ได้ขายฝากที่พิพาทให้จำเลยที่ 2 โดยทำหนังสือจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครนายก โดยชอบด้วยกฎหมายเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์2510 และได้รับเงิน ค่าขายฝากเป็นเงิน 67,800 บาทครบถ้วนถูกต้องแล้ว โดยจำเลยที่ 1 มิได้บอกให้จำเลยที่ 2 ทราบถึงเรื่องที่จำเลยที่ 1เป็นจำเลยร่วมในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 52/2508 ของศาลจังหวัดนครนายก และเป็นเวลาก่อนที่ศาลฎีกาจะพิพากษาคดีแพ่ง ดังกล่าวและศาลจังหวัดนครนายกได้พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชนะคดีแพ่งดังกล่าวแล้ว จำเลยที่ 1 ขายฝากที่พิพาทโดยสุจริตตามสิทธิที่มีอยู่โดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 2 รับซื้อฝากโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนการขายฝากจึงสมบูรณ์ตามกฎหมาย ศาลฎีกาได้พิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายระหว่างจำเลยที่ 1 กับนายการิม เกิดอยู่ กับพวกภายหลังจากการจดทะเบียนขายฝากระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2และคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าว มิได้เกี่ยวข้องกับเรื่องการขายฝากระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกคดี และขณะนั้นโจทก์มิได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาท จำเลยที่ 1 ได้ถูกเรียกเข้าเป็นจำเลยร่วมในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 52/2508 และถูกโจทก์ฟ้องเป็นจำเลยร่วมกับจำเลยที่ 2 ในคดีอาญา ปรากฏตามสำเนาคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 389/2510 จริง โจทก์เป็นฝ่ายประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงที่มิได้ขออายัดที่พิพาท ขอให้ยกฟ้อง

ในวันนัดพร้อม คู่ความตกลงกันให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาด เป็นข้อแพ้ชนะโดยไม่ต้องสืบพยานว่า ตามที่ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 82/2507 หมายเลขแดงที่ 52/2508ว่า นิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทฉบับลงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2507 เป็นโมฆะ และให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทตามสัญญาลงวันที่ 29 เมษายน 2507 ให้ถอนชื่อจำเลยที่ 2, 3 และ 4 ในคดีนั้นและนายสหากจำเลยออกจากโฉนดดังกล่าว และวินิจฉัยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 389/2510 หมายเลขแดงที่ 466/2510 ว่านายสหากจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 350 นั้น จะมีผลทำให้นายยูซบจำเลยที่ 2 ได้รับกรรมสิทธิ์ตามหนังสือสัญญาขายฝากที่ดินพิพาท ซึ่งเสียค่าตอบแทนโดยสุจริตหรือไม่ และจำเลยขอสละข้อต่อสู้นอกจากนี้ทั้งสิ้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการขายฝาก ฉบับลงวันที่ 17กุมภาพันธ์ 2510 ที่จำเลยทั้งสองทำไว้ ให้ถอนชื่อนายยูซบ สุขถาวร จำเลยที่ 2ออกจากโฉนดที่ดินเลขที่ 968 ตำบลบึงสาร อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายกและให้ใส่ชื่อนายจรูญ รักษ์เจริญ โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกับนางสำเภา รักษ์เจริญ ในโฉนดนั้นต่อไป

จำเลยที่ 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 2 ฎีกา

คดีนี้สืบเนื่องมาจากนางสำเภา รักษ์เจริญ ภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายจรูญ รักษ์เจริญ โจทก์คดีนี้ได้ขายที่ดินสินสมรสให้แก่นายการิม เกิดอยู่ กับพวก 3 คน โดยนายจรูญ รักษ์เจริญ สามีมิได้ให้ความยินยอม นายจรูญ รักษ์เจริญ จึงเป็นโจทก์ฟ้องนางสำเภา รักษ์เจริญ ภรรยาและนายการิม เกิดอยู่ กับพวก รวม 4 คนเป็นจำเลย ขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายนั้น ปรากฏตามคำให้การของนายการิม เกิดอยู่ กับพวก ว่าได้ขายที่พิพาทให้ผู้มีชื่อไปแล้ว โจทก์จึงขอให้ศาลชั้นต้นเรียกนายสหาก ขำวิลัยเข้าเป็นจำเลยร่วม ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น เป็นว่า นิติกรรมซื้อขายที่พิพาทตามสัญญาซื้อขายลงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2507 เป็นโมฆะ และให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่พิพาทตามสัญญาซื้อขายลงวันที่ 29 เมษายน 2507 ให้เจ้าพนักงานที่ดินถอนชื่อจำเลยที่ 2, 3 และ 4 กับจำเลยร่วมออกจากโฉนด ให้ลงชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยที่ 1 ในโฉนดนั้นต่อไป และศาลฎีกาพิพากษายืน ปรากฏตามสำนวนคดีแพ่งของศาลจังหวัดนครนายกหมายเลขแดงที่ 52/2508ขณะที่คดีแพ่งดังกล่าวอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา นายสหากขำวิลัย ได้ขายฝากที่พิพาทให้แก่นายยูซบ สุขถาวร และที่พิพาทหลุดเป็นกรรมสิทธิ์ของนายยูซบ สุขถาวร แล้วโจทก์จึงฟ้องนายสหาก ขำวิลัย และนายยูซบ สุขถาวร เป็นจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในคดีอาญา ในข้อหาฉ้อโกงเจ้าหนี้และยักยอกทรัพย์ ซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสอง และศาลฎีกาพิพากษาแก้เป็นให้ยกฟ้องนายยูซบ สุขถาวร จำเลยที่ 2 ปรากฏตามสำนวนคดีอาญาของศาลจังหวัดนครนายกหมายเลขแดงที่ 466/2510

วินิจฉัยว่า เมื่อโจทก์ฟ้องนางสำเภา รักษ์เจริญ กับพวก ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการขายกรรมสิทธิ์ที่ดินสินสมรส โดยมิได้รับความยินยอมจากโจทก์ อันเป็นนิติกรรมโมฆียะตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 52/2508 ของศาลจังหวัดนครนายก นั้น ถือได้ว่า โจทก์ได้บอกล้างนิติกรรมนั้นแล้ว และเมื่อในที่สุดศาลได้พิพากษาว่านิติกรรมดังกล่าวเป็นโมฆะ นิติกรรมนั้นจึงย่อมถือว่าเป็นโมฆะมาแต่เริ่มแรก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 138 วรรคแรก การที่นายการิมเกิดอยู่ กับพวก จำเลยในคดีดังกล่าวโอนขายที่พิพาทให้นายสหาก ขำวิลัย(จำเลยที่ 1) อันเป็นนิติกรรมอันที่ 2 โจทก์จึงเรียกนายสหาก ขำวิลัย(จำเลยที่ 1) เข้าเป็นจำเลยร่วมในคดีแพ่งดังกล่าวก็ดี หรือนายสหากขำวิลัย จำเลยที่ 1 ขายฝากที่พิพาทในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาให้แก่นายยูซบ สุขถาวร จำเลยที่ 2 ในคดีนี้ อันเป็นนิติกรรมอันที่ 3 ก็ดีเป็นอันใช้ยันโจทก์ไม่ได้ เพราะการโอนขายต่อ ๆ มานั้น จำเลยที่ 1ไม่มีอำนาจที่จะโอนขายได้ เข้าหลักที่ว่า ผู้รับโอนไม่มีอำนาจดีกว่าผู้โอนเพราะนิติกรรมอันเดิมเป็นโมฆะมาแต่เริ่มแรกเสียแล้ว โจทก์ย่อมใช้สิทธิติดตามทรัพย์สินตามมาตรา 1336 ได้ กรณีเช่นนี้จะนำมาตรา 1299และมาตรา 1300 มาปรับแก่คดีหาได้ไม่ ส่วนมาตรา 1329 นั้น ต้องได้ความว่าได้ทรัพย์สินมาในระหว่างที่ยังไม่มีการบอกล้างโมฆียะกรรมจึงจะได้รับคุ้มครองตามมาตรานี้ ถ้าได้มาภายหลังที่บอกล้างโมฆียะกรรมแล้ว อย่างเช่นจำเลยที่ 2 คดีนี้ ย่อมไม่ได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 1329 ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - นายจรูญ รักษ์เจริญ จำเลย - นายสหาก ขำวิลัย กับพวก

ชื่อองค์คณะ แผ้ว ศิวะบวร สัญชัย สัจจวานิช สนิท บริรักษ์

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE