สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1818/2543

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1818/2543

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 193/14, 193/32 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 271

แม้โจทก์บังคับคดีแก่ที่ดินของจำเลยที่ 4 โดยนำออกขายทอดตลาดและขอเฉลี่ยเงินที่ขายทรัพย์ของจำเลยที่ 4 ในคดีอื่นได้เงินมาชำระหนี้ตามคำพิพากษาแก่โจทก์บางส่วนแล้ว โจทก์ก็ต้องขอให้บังคับคดีแก่ทรัพย์สินของจำเลยทั้งหกเพิ่มเติมเพื่อบังคับชำระหนี้ส่วนที่เหลือภายในกำหนด 10 ปีนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา ทั้งการที่โจทก์นำหนี้ตามคำพิพากษาของศาลที่ถึงที่สุดแล้วมาเป็นมูลฟ้องให้จำเลยทั้งหกล้มละลายมีอายุความ 10 ปีและการบังคับคดีดังกล่าวไม่ใช่การกระทำการอื่นใดอันมีผลเป็นอย่างเดียวกันกับการฟ้องคดีที่จะเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลง เมื่อสิทธิเรียกร้องของโจทก์ในมูลหนี้ตามคำพิพากษาขาดอายุความแล้วโจทก์จึงไม่อาจฟ้องให้จำเลยทั้งหกล้มละลายโดยอาศัยมูลหนี้ดังกล่าวได้

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยทั้งหกเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาศาลแพ่ง คดีหมายเลขแดงที่ 1810/2530 จำนวน8,420,849.36 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่จำเลยทั้งหกไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ โจทก์ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของจำเลยออกขายทอดตลาดและยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ในคดีอื่น ซึ่งปัจจุบันการดำเนินการดังกล่าวยังไม่เสร็จสิ้น ถึงแม้จะได้รับเงินจากการขอเฉลี่ยทรัพย์ดังกล่าวก็ยังไม่เพียงพอที่จะชำระหนี้ คิดถึงวันฟ้องคดีนี้คือวันที่ 18ธันวาคม 2540 จำเลยทั้งหกเป็นหนี้โจทก์จำนวน 26,211,220.22 บาทและไม่มีทรัพย์สินอื่นใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้แก่โจทก์ จำเลยทั้งหกจึงเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวขอให้ พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งหกเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย

จำเลยทั้งหกให้การว่า หนี้ตามคำพิพากษาตามฟ้อง ศาลแพ่งมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2530 เมื่อนับถึงวันฟ้องเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี โจทก์หมดสิทธิที่จะบังคับคดีแล้ว โจทก์จึงไม่อาจนำหนี้ดังกล่าวมาฟ้องให้จำเลยทั้งหกล้มละลายได้ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า "มีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่าโจทก์มีสิทธินำหนี้ตามคำพิพากษาตามฟ้องมาเป็นมูลฟ้อง ขอให้จำเลยทั้งหกล้มละลายหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าว ศาลแพ่งมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2530 จำเลยทั้งหกไม่ชำระหนี้ โจทก์จึงขอให้ศาลออกหมายบังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการบังคับคดีโดยขายทอดตลาดที่ดินของจำเลยที่ 4 ได้เงินชำระหนี้แก่โจทก์บางส่วนเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2532 และโจทก์ได้ขอเฉลี่ยในเงินที่ขายทรัพย์สินของจำเลยที่ 4 ในคดีอื่น ซึ่งอยู่ในระหว่างดำเนินการขายทอดตลาดอยู่ต่อมาโจทก์ได้นำหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวที่จำเลยทั้งหกยังค้างชำระมาฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2540 ซึ่งพ้นกำหนด 10 ปี นับแต่วันที่ศาลแพ่งมีคำพิพากษาแล้ว ที่โจทก์อ้างว่าโจทก์ได้ดำเนินการบังคับคดีภายในกำหนด 10 ปี นับแต่วันที่ศาลแพ่งมีคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 แต่การบังคับคดียังไม่เสร็จสิ้น เพราะยังไม่มีการขายทอดตลาดทรัพย์ในคดีที่โจทก์ขอเฉลี่ยไว้ ดังนั้น แม้ระยะเวลาจะเกินกำหนด 10 ปี ก็ยังดำเนินการต่อไปได้สิทธิการบังคับคดีของโจทก์ยังไม่หมดสิ้น โจทก์ย่อมนำหนี้ซึ่งยังไม่พ้นกำหนดการบังคับคดีมาฟ้องให้จำเลยทั้งหกล้มละลายได้ ทั้งการบังคับคดีดังกล่าวยังเป็นการกระทำอื่นใดอันมีผลเป็นอย่างเดียวกับการฟ้องคดีเพื่อตั้งหลักฐานสิทธิเรียกร้องและเพื่อให้ชำระหนี้ ย่อมเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงนับตั้งแต่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2532 แล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/14(5) โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2540 ยังไม่ล่วงพ้นกำหนด 10 ปี ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความนั้น เห็นว่า แม้โจทก์ได้บังคับคดีแก่ที่ดินของจำเลยที่ 4 โดยนำออกขายทอดตลาดได้เงินมาชำระหนี้ตามคำพิพากษาแก่โจทก์บางส่วนเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2532 และขอเฉลี่ยในเงินที่ขายทรัพย์สินของจำเลยที่ 4 ในคดีอื่นแล้วก็ตาม แต่โจทก์ต้องร้องขอให้บังคับคดีแก่ทรัพย์สินของจำเลยทั้งหกเพิ่มเติมเพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษาในส่วนที่เหลือภายในกำหนดระยะเวลา 10 ปีนับแต่วันที่ศาลแพ่งมีคำพิพากษา เมื่อโจทก์มิได้ร้องขอภายในกำหนดดังกล่าว โจทก์ย่อมหมดสิทธิบังคับคดีตามคำพิพากษาในส่วนที่เหลือต่อไป ทั้งการที่โจทก์นำหนี้ตามคำพิพากษาของศาลแพ่งที่ถึงที่สุดแล้วมาเป็นมูลฟ้องขอให้จำเลยทั้งหกล้มละลายเป็นกรณีที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งหกให้ล้มละลายโดยอาศัยมูลหนี้ตามคำพิพากษาศาลแพ่งดังกล่าวซึ่งเป็นสิทธิเรียกร้องที่เกิดขึ้นโดยคำพิพากษาของศาลที่ถึงที่สุดมีกำหนดอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/32แต่โจทก์นำหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวมาเป็นมูลฟ้องให้จำเลยทั้งหกล้มละลายเมื่อพ้นกำหนด 10 ปี นับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด หนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวจึงขาดอายุความแล้ว การที่โจทก์ได้ดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาภายในกำหนด 10 ปี และได้เงินมาชำระหนี้บางส่วนนั้น ไม่ใช่การกระทำการอื่นใดอันมีผลเป็นอย่างเดียวกันกับการฟ้องคดีที่จะเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14(5) ดังที่โจทก์ฎีกา เมื่อสิทธิเรียกร้องของโจทก์ในมูลหนี้ตามคำพิพากษาขาดอายุความแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขอให้จำเลยทั้งหกล้มละลายโดยอาศัยมูลหนี้ดังกล่าวได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น"

พิพากษายืน

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan

แหล่งที่มา สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ชื่อคู่ความ โจทก์ - ธนาคาร เอเชีย จำกัด (มหาชน จำเลย - ห้างหุ้นส่วนจำกัด นำโชคขนส่ง กับพวก

ชื่อองค์คณะ สมชาย พงษธา จำลอง สุขศิริ ชวลิต ยอดเณร

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE