คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1778/2543
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 223 ทวิ
ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์และคำแก้อุทธรณ์แล้วมีคำสั่งให้ส่งสำนวนเสนอศาลฎีกาถือได้ว่าศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาได้แต่โจทก์ได้ยื่นคำแถลงคัดค้านคำร้องขออนุญาตยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกามาพร้อมคำแก้อุทธรณ์ กรณีจึงไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ ที่ศาลชั้นต้นจะอนุญาตให้จำเลยยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาได้ ศาลฎีกาจึงพิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ส่งอุทธรณ์ของจำเลยต่อศาลฎีกา และให้ศาลชั้นต้นสั่งอุทธรณ์ของจำเลยใหม่
กรณีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียน ศก. 907 โดยนายฤทัย ก่อแก้ว ทำพินัยกรรมยกที่ดินให้แก่ทางราชการเป็นที่ตั้งโรงเรียนบ้านบอน จำเลยบุกรุกเข้าไปครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาททั้งแปลงเนื้อที่ 1 ไร่ 1 งาน 11 ตารางวา ทางราชการได้ร้องทุกข์ดำเนินคดีแก่จำเลยในความผิดฐานบุกรุกตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1847/2525 หมายเลขแดงที่ 2608/2526 ของศาลชั้นต้นศาลพิพากษาถึงที่สุดลงโทษจำเลยแล้ว แต่จำเลยยังไม่ยอมรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและต้นไม้ออกจากที่ดินพิพาทขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาทพร้อมกับรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและต้นไม้ออกไป
จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นของบิดาจำเลยซึ่งถึงแก่กรรมแล้วจึงตกเป็นของจำเลย จำเลยได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมา ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาทพร้อมกับรื้อถอนอาคารบ้านเรือน สิ่งปลูกสร้าง ต้นไม้ พืชผลต่าง ๆ ออกไปจากที่ดินพิพาท กับห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาพิพากษายืน
เมื่อศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้คู่ความฟังแล้ว จำเลยยื่นคำร้องสรุปความว่า การฟังข้อเท็จจริงเกี่ยวกับที่ดินพิพาทของศาลฎีกาในคดีแพ่งที่พิพากษาให้จำเลยแพ้คดีผิดพลาดไป ทำให้จำเลยต้องเสียสิทธิในทรัพย์สินซึ่งได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พยานหลักฐานของจำเลยมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ การพิจารณาพิพากษาคดีนี้ขัดและแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ขอให้ศาลส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย โดยให้ศาลรอการพิจารณาพิพากษาหรือการบังคับคดีไว้ก่อน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยโต้แย้งการฟังข้อเท็จจริงของศาลฎีกาว่าไม่ถูกต้องและอ้างว่าศาลฎีกาดำเนินกระบวนพิจารณาไม่ถูกต้อง ไม่ได้กล่าวอ้างว่ากฎหมายที่ศาลฎีกาหยิบยกขึ้นวินิจฉัยขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ เป็นเรื่องที่จำเลยไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาศาลฎีกาเท่านั้น ไม่มีเหตุจะส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยกคำร้อง
จำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาพร้อมคำฟ้องอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ โจทก์ยื่นคำแก้อุทธรณ์และคำแถลงคัดค้านคำร้องขออนุญาตยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งสำนวนเสนอศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์และคำแก้อุทธรณ์แล้วมีคำสั่งให้ส่งสำนวนเสนอศาลฎีกานั้น ถือได้ว่าศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาได้ แต่คดีนี้โจทก์ได้ยื่นคำแถลงคัดค้านคำร้องขออนุญาตยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกามาพร้อมคำแก้อุทธรณ์แล้ว กรณีจึงไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ ที่ศาลชั้นต้นจะอนุญาตให้จำเลยยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาได้ การที่ศาลชั้นต้นส่งอุทธรณ์ของจำเลยต่อศาลฎีกาจึงขัดต่อบทกฎหมายดังกล่าว
พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ส่งอุทธรณ์ของจำเลยต่อศาลฎีกาและให้ศาลชั้นต้นสั่งอุทธรณ์ของจำเลยใหม่
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ชื่อคู่ความ โจทก์ - กระทรวงการคลัง จำเลย - นาย สมัย ชาติมนตรี
ชื่อองค์คณะ สมศักดิ์ เนตรมัย กนก พรรณรักษา ปรีดี รุ่งวิสัย
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan