สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1773/2518

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1772 - 1773/2518

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 341 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 158 (5), 192 วรรคสอง

วันกระทำผิดที่ปรากฏในทางพิจารณาตามข้อนำสืบของโจทก์แตกต่างกับวันกระทำผิดที่โจทก์กล่าวไว้ในฟ้องไป 1 เดือน แม้ข้อแตกต่างนี้ไม่ใช่ข้อสารสำคัญ แต่เมื่อจำเลยเบิกความอ้างฐานที่อยู่ว่าตามวันที่โจทก์กล่าวหาในฟ้อง จำเลยอยู่บ้านมิได้ไปกระทำผิด ก็ถือได้ว่าจำเลยได้หลงต่อสู้คดีแล้ว จึงลงโทษจำเลยไม่ได้

เนื้อหาฉบับเต็ม

คดีสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๑๕๘/๒๕๑๘ และ ๑๕๙/๒๕๑๘ ของศาลชั้นต้น

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเป็นสมาชิกสันนิบาตเสรีชนแห่งประเทศไทย สาขาจังหวัดอุดรธานี ได้ร่วมกันหลอกลวงนายแพ้น ชำนาญ ผู้เสียหายสำนวนแรก และนายเส็ง อองจำปา ผู้เสียหายสำนวนหลัง ให้สมัครเข้าเป็นสมาชิกสันนิบาตเสรีชนแห่งประเทศไทย จะได้มีสิทธิโดยสารรถไฟ รถยนต์โดยไม่เสียเงิน พกปืนได้ และเวลาเจ็บป่วยไม่ต้องเสียค่ารักษาพยาบาล การสมัครเป็นสมาชิกต้องเสียค่าบำรุง ๓๐๐ บาทตลอดชีพ ชำระก่อน ๑๕๐ บาท จำเลยจะเป็นผู้ดำเนินการให้ได้บัตรประจำตัวภายใน ๓ เดือน เมื่อได้บัตรประจำตัวแล้วจึงชำระเงินที่เหลืออีก ๑๕๐ บาท ความจริงสมาชิกสันนิบาตเสรีชนแห่งประเทศไทยไม่มีสิทธิใด ๆ ดังที่จำเลยกล่าวอ้าง จำเลยไม่มีหน้าที่หาสมาชิก การสมัครก็เสียค่าบำรุงเพียง ๑๐ บาท ผู้เสียหายทั้งสองหลงเชื่อจึงมอบเงินให้จำเลยไปคนละ ๑๕๐ บาท ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑,๘๓ และให้จำเลยร่วมกันคืนหรือใช้เงินแก่ผู้เสียหายคนละ ๑๕๐ บาท

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธทุกสำนวน

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑ ลงโทษจำเลยเรียงกระทง กระทงละ ๔ เดือน รวม ๔ กระทงเป็นจำคุกคนละ ๑ ปี ๔ เดือน และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้เงินแก่ผู้เสียหายรายละ ๑๕๐ บาท

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ทั้งสี่สำนวน

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เฉพาะคดีนายแพ้น ชำนาญ และนายเส็ง อองจำปา เป็นผู้เสียหาย ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาเกี่ยวกับวันจำเลยพูดหลอกลวงและวันจำเลยรับเงินจากผู้เสียหายแตกต่างกับวันที่กล่าวในฟ้อง นอกจากนั้นพยานยังเบิกความแตกต่างกันรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามวันเวลาที่โจทก์กล่าวหา พิพากษาแก้เป็นให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับสำนวนที่นายแพ้น ชำนาญ และนายเส็ง อองจำปา เป็นผู้เสียหาย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกา ขอให้ลงโทษจำเลยในสำนวนที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองได้หลอกลวงเอาเงินจากนายแพ้น ชำนาญ และนายเส็ง อองจำปา ผู้เสียหายทั้งสองไปคนละ ๑๕๐ บาทจริง แต่การที่จำเลยทั้งสองหลอกลวงเอาเงินผู้เสียหายไปนี้ วันกระทำผิดที่ปรากฏในทางพิจารณาตามข้อนำสืบของโจทก์ดังที่กล่าวไว้แล้ว แตกต่างกับวันกระทำผิดที่โจทก์กล่าวไว้ในฟ้อง กล่าวคือ ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาจำเลยกระทำผิดเดือนแปด เทียบแล้วตรงกับเดือนมิถุนายน แต่ฟ้องระบุว่าจำเลยกระทำผิดเดือนกรกฎาคม เทียบแล้วตรงกับเดือนเก้า เวลาคลาดเคลื่อนไปหนึ่งเดือน จึงมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยต่อไปว่าจะลงโทษจำเลยได้หรือไม่ พิเคราะห์แล้ววันเวลากระทำผิดเป็นเพียงรายละเอียดที่จะต้องกล่าวไว้ในฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘ (๕) ข้อแตกต่างในเรื่องวันกระทำผิดจึงไม่ใช่ข้อสารสำคัญ หากจำเลยมิได้หลงต่อสู้ ศาลจะลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความนั้นก็ได้ ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๒ วรรคสอง แต่คดีนี้จำเลยทั้งสองเบิกความอ้างฐานที่อยู่ว่าวันที่โจทก์กล่าวหาตามฟ้องจำเลยอยู่บ้านจำเลยมิได้ไปกระทำผิดดังข้อกล่าวหาแต่อย่างใด ถือได้ว่าจำเลยได้หลงต่อสู้คดีแล้ว จึงลงโทษจำเลยไม่ได้

พิพากษายืน.

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - พนักงานอัยการประจำศาลจังหวัดภูเขียว ล. - นายสุน คำมา ที่ 1 กับพวกรวม 2 คน สำนวน) - (คู่ความชุดเดียวกันทั้ง 2

ชื่อองค์คณะ อุดม ทันด่วน อุดม ทันด่วน ชุ่ม สุนทรชัย

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน ศาลจังหวัดภูเขียว - นายสายันต์ สุรสมภพ ศาลอุทธรณ์ - นายอัมพล สุวรรณภักดี

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE