สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1702/2522

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1702/2522

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 36 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 226, 238

ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226 แสดงให้เห็นว่าบทบัญญัติในภาค 5 มุ่งหมายที่จะใช้แก่พยานหลักฐานซึ่งน่าจะพิสูจน์ได้ว่าจำเลยมีความผิดหรือบริสุทธิ์ แต่ถ้าเป็นเรื่องบุคคลภายนอกมาร้องขอให้ศาลสั่งคืนทรัพย์สินที่ศาลได้สั่งริบไปแล้วให้แก่ผู้ร้อง ไม่จำต้องนำบทบัญญัติมาตรา 238 มาใช้บังคับโดยเคร่งครัด ผู้ร้องได้แนบภาพถ่ายหนังสือรับรองมาท้ายคำร้อง โจทก์มิได้คัดค้านประการใด การที่ผู้ร้องมิได้ส่งต้นฉบับหนังสือรับรอง จึงไม่เป็นการขัดต่อกระบวนพิจารณาความ

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเก็บหาของป่า จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยและสั่งริบถ่าน 17 กระสอบกับรถยนต์ซึ่งจำเลยใช้เป็นยานพาหนะในการเก็บหาถ่าน ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า รถยนต์ที่ศาลสั่งริบเป็นของผู้ร้องให้จำเลยเช่าซื้อไป มิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิด ขอให้ศาลสั่งคืนรถยนต์นั้นแก่ผู้ร้อง

พนักงานอัยการโจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านว่า ผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดของจำเลย

ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง

ผู้ร้องอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้คืนรถยนต์ของกลางแก่ผู้ร้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาตามฎีกาโจทก์ข้อแรกเป็นเรื่องหนังสือรับรองของสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร ซึ่งรับรองว่าบริษัทผู้ร้องเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีบุคคล 7 คนเป็นกรรมการ กรรมการผู้ใดบ้างเป็นผู้มีอำนาจลงชื่อแทนบริษัทผู้ร้องได้ยื่นภาพถ่ายของเอกสารนี้มาเป็นเอกสารท้ายคำร้องหมายเลข 1 และได้ยื่นภาพถ่ายของเอกสารนี้เป็นพยานหลักฐานในขณะที่สืบพยานผู้ร้อง โดยยื่นคำแถลงชี้แจ้งว่าต้นฉบับของเอกสารฉบับนี้ติดอยู่ที่ศาลแขวงพิษณุโลก ขออนุญาตยื่นภาพถ่ายแทนต้นฉบับ ศาลชั้นต้นสั่งรวมสำนวนและหมายภาพถ่ายเอกสารดังกล่าวว่า ร.1 และปรากฏว่าภาพถ่ายเอกสารฉบับนี้มีแต่ลายมือชื่อของนายปรีชาผู้รับมอบอำนาจของผู้ร้องว่าเป็นสำเนาอันถูกต้อง

ที่โจทก์ฎีกาว่า ผู้ร้องมิได้นำต้นฉบับเอกสารมาแสดงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 238 จึงรับฟังไม่ได้นั้นเห็นว่าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226 แสดงให้เห็นว่าบทบัญญัติในภาค 5 นี้มุ่งหมายที่จะใช้แก่พยานหลักฐานซึ่งน่าจะพิสูจน์ได้ว่าจำเลยมีผิดหรือบริสุทธิ์ แต่คดีนี้เป็นเรื่องบุคคลภายนอกมาร้องขอให้ศาลสั่งคืนทรัพย์สินที่ศาลได้สั่งริบไปแล้วให้แก่ผู้ร้อง จึงไม่จำต้องนำบทบัญญัติมาตรา 238 มาใช้บังคับโดยเคร่งครัด ผู้ร้องได้แนบภาพถ่ายหนังสือรับรองมาท้ายคำร้องดังกล่าวแล้ว ถือได้ว่าภาพถ่ายหนังสือรับรองนั้นเป็นส่วนหนึ่งของคำร้อง เมื่อโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องพร้อมด้วยภาพถ่ายเอกสารต่าง ๆ แล้ว คงยื่นคำร้องคัดค้านแต่เพียงว่า ผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย มิได้คัดค้านเรื่องกรรมการผู้มีอำนาจลงชื่อแทนบริษัทผู้ร้องแต่ประการใด ในชั้นพิจารณาถ้าผู้ร้องจะไม่ยื่นภาพถ่ายหนังสือรับรองนั้นต่อศาลซ้ำอีก ศาลก็ยังพิจารณาข้อความของหนังสือรับรองนั้นจากภาพถ่ายเอกสารท้ายคำร้องได้อยู่แล้ว การที่ผู้ร้องมิได้ส่งต้นฉบับหนังสือรับรองตามความในมาตรา 238 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา จึงไม่เป็นการขัดต่อกระบวนวิธีพิจารณาความ การมอบอำนาจของกรรมการโดยอาศัยอำนาจตามที่ระบุไว้ในหนังสือรับรองดังกล่าวจึงเป็นการชอบ ที่โจทก์ฎีกาต่อไปด้วยว่า หนังสือรับรองนั้นออกให้ ณ วันที่ 15มกราคม 2518 ต่อมาภายหลังมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงทำให้กรรมการดังกล่าวหมดอำนาจลงก็ได้นั้น ความข้อนี้ไม่ใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ที่เพิ่งมายกขึ้นในชั้นฎีกาเช่นนี้ ศาลฎีกาวินิจฉัยให้ไม่ได้ แล้ววินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิด

พิพากษายืน

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - พนักงานอัยการจังหวัดชัยภูมิ ผู้ร้อง - บริษัท สยามกลการและนิสสัน จำกัด จำเลย - นายสวัสดิ์ ประยูรพันธ์

ชื่อองค์คณะ ประทีป ชุ่มวัฒนะ สมบัติ วังตาล ทวี กสิยพงศ์

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE