คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1530/2543
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 40, 86, 104
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองมีทุนทรัพย์ถึง 2,560,462.57 บาท แม้จะปรากฏว่ามีการเลื่อนคดีติดต่อกัน ตั้งแต่นัดแรกจนถึงวันนัดสุดท้าย รวม 7 นัด เป็นเวลา 1 ปีเศษ แต่ทนายโจทก์ขอเลื่อนคดีเนื่องจากไม่มีพยานมาศาลในนัดที่สองเพียงนัดเดียว ส่วนนัดแรกเหตุเลื่อนคดีก็เนื่องมาจากทนายจำเลยที่ 1 และทนายจำเลยที่ 2 ขออนุญาตยื่นคำให้การส่วนวันนัดสืบพยานโจทก์ครั้งที่สาม ทนายโจทก์คนใหม่ติดว่าความที่ศาลอื่นซึ่งนับว่ามีเหตุจำเป็น เพราะทนายโจทก์คนใหม่เพิ่งได้รับการแต่งตั้ง การนัดความในวันดังกล่าวทนายโจทก์คนใหม่มิได้มีส่วนรับรู้ด้วย การเลื่อนคดีในนัดสืบพยานโจทก์ครั้งที่สี่ที่พยานโจทก์มาศาลก็เนื่องมาจากทนายจำเลยทั้งสองเพิ่งมาแถลงต่อศาลในวันนัดว่ายังไม่ได้รับสำเนาเอกสารบางฉบับซึ่งเป็นเอกสารสำคัญจากโจทก์หากไม่มีเหตุดังกล่าวก็คงจะมีการสืบพยานโจทก์ไปได้ ศาลชั้นต้นเห็นว่าการส่งสำเนาเอกสารยังไม่เรียบร้อยจึงให้เลื่อนคดีไป เมื่อถึงในวันนัดครั้งที่ห้าทนายโจทก์ขอถอนตัวเนื่องจาก มีความคิดเห็นไม่ตรงกับโจทก์และไม่สามารถตกลงกันเรื่องค่าทนายความได้ นัดนี้ทนายจำเลยที่ 2 ขอเลื่อนคดีเช่นกันโดยอ้างว่าติดว่าความที่ศาลอื่นและมีนัดที่ต่างจังหวัด การเลื่อนคดีในนัดนี้จึงไม่ใช่ความผิดของโจทก์ ส่วนวันนัดสืบพยานโจทก์ครั้งที่หก ซึ่งทนายโจทก์ขอเลื่อนคดีเนื่องจากเพิ่งได้รับการแต่งตั้งและยังไม่ได้รับเอกสารจากโจทก์ และวันนัดสืบพยานครั้งที่เจ็ดทนายโจทก์ขอเลื่อนคดีเนื่องจากเอกสารสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันยังไม่ได้รับคืนจากทนายโจทก์คนเดิมและยังติดตามตัวทนายโจทก์คนเดิมไม่พบ กรณีดังกล่าวแม้จะนับได้ว่าเป็นความบกพร่องของ ทนายโจทก์ที่ไม่จัดเตรียมเอกสารให้เรียบร้อยก่อนวัดนัดก็ตาม แต่เมื่อเอกสารที่ต้องการใช้อยู่กับทนายโจทก์คนเดิม และเหตุที่ไม่ได้เอกสารมาก็เนื่องจากติดตามตัวทนายโจทก์คนเดิมไม่ได้ ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวยังไม่พอฟังว่าโจทก์มีเจตนาประวิงคดีให้ล่าช้า
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองขดใช้เงินจำนวน ๒,๕๖๐,๔๖๒.๕๗ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๒ ต่อเดือน นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การและแก้ไขคำให้การว่า ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์พยานเข้าสืบก่อน และโจทก์ขอเลื่อนคดีมาหลายนัด ครั้นถึงวันนัดสืบพยานโจทก์วันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๔๐ ทนายโจทก์ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีอีก ศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์ประวิงคดี จึงไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ ส่วนจำเลยทั้งสองไม่สืบพยาน
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาข้อแรกในชั้นฎีกาว่า คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้โจทก์เลื่อนคดีชอบหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองในข้อหาผิดสัญญาเช่าซื้อ และสัญญาค้ำประกัน มีทุนทรัพย์ถึง ๒,๕๖๐,๔๖๒.๕๗ บาท แม้จะปรากฏว่ามีการเลื่อนคดีติดต่อกันตั้งแต่นัดแรกวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๓๙ จนถึงวันนัดสุดท้ายวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๔๐ รวม ๗ นัด เป็นเวลา ๑ ปีเศษ แต่เมื่อพิจารณาถึงเหตุในการเลื่อนคดีแต่ละครั้งแล้วจะเห็นได้ว่าทนายโจทก์ขอเลื่อนเนื่องจากไม่มีพยานมาศาลในนัดที่สอง วันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๓๙ เพียงนัดเดียว ส่วนนัดแรกเหตุเลื่อนคดี ก็เนื่องมาจากทนายจำเลยที่ ๑ และทนายจำเลยที่ ๒ ขออนุญาตยื่นคำให้การวันนัดสืบพยานโจทก์ครั้งที่สาม วันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๓๙ ทนายโจทก์คนใหม่ติดว่าความที่ศาลอื่นซึ่งนับว่ามีเหตุจำเป็น เพราะทนายโจทก์คนใหม่เพิ่ง ได้รับการแต่งตั้ง การนัดความในวันดังกล่าว ทนายโจทก์คนใหม่มิได้มีส่วนรับรู้ด้วย ดังนั้น วันนัดอาจจะตรงกับคดี ที่ทนายโจทก์คนใหม่ได้นัดไว้ก่อนแล้ว เมื่อศาลอุทธรณ์ให้เลื่อนคดีไปนัดสืบพยานโจทก์ครั้งที่สี่ วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๓๙ ครั้งนี้เหตุที่มีการเลื่อนคดีก็เนื่องมาจากทนายจำเลยที่ ๑ และทนายจำเลยที่ ๒ เพิ่งมาแถลงต่อศาลในวันนัดว่ายังไม่ได้รับสำเนาเอกสารบางฉบับซึ่งเป็นเอกสารสำคัญจากโจทก์ ปรากฏว่านัดนี้ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ซึ่งเป็นพยานโจทก์มาศาลด้วย ดังนั้น หากไม่มีเหตุดังกล่าวก็คงจะมีการสืบพยานโจทก์ไปได้ ศาลชั้นต้นเห็นว่าการส่งสำเนาเอกสารยังไม่เรียบร้อย จึงให้เลื่อนคดีไป เมื่อถึงวันนัดครั้งที่ห้าวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๔๐ ทนายโจทก์ขอถอนตัวเนื่องจากมีความคิดเห็นไม่ตรงกับโจทก์และไม่สามารถตกลงกันเรื่องค่าทนายความได้ นัดนี้ทนายจำเลยที่ ๒ ขอเลื่อนคดีเช่นกันโดยอ้างว่าติดว่าความที่ศาลอื่นและมีนัดที่ต่างจังหวัด ดังนั้น แม้ไม่มีเหตุที่ทนายโจทก์ขอถอนตัว คดีก็คงไม่อาจสืบพยานโจทก์ได้เพราะทนายจำเลยที่ ๒ ขอเลื่อนคดี การเลื่อนคดีไม่อาจสืบพยานโจทก์ได้เพราะทนายจำเลยที่ ๒ ขอเลื่อนคดี การเลื่อนคดีในนัดนี้จึงไม่ใช่ความผิดของโจทก์ ส่วนนัดสืบพยานโจทก์ครั้งที่หก วันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๔๐ ซึ่งทนายโจทก์ขอเลื่อนคดีเนื่องจากเพิ่งได้รับการแต่งตั้งและยังไม่ได้รับเอกสารจากโจทก์ และวันนัดสืบพยานครั้งที่เจ็ดวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๔๐ ทนายโจทก์ขอเลื่อนคดี เนื่องจากเอกสารสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันยังไม่ได้รับคืนจากทนายโจทก์คนเดิมและยังติดตามตัวทนายโจทก์คนเดิมไม่พบ กรณีดังกล่าวแม้จะนับได้ว่าเป็นความบกพร่องของทนายโจทก์ที่ไม่จัดเตรียมเอกสารให้เรียบร้อยก่อนวันนัดก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาตามคำแถลงของทนายโจทก์ทั้งสองนัดแล้ว จะเห็นได้ว่าในนัดที่หกทนายโจทก์แถลงว่า เพิ่งได้รับการแต่งตั้งและยังไม่ได้รับเอกสารจากโจทก์ ต่อมาเมื่อถึงนัดที่เจ็ดทนายโจทก์แถลงว่าเอกสารสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันซึ่งเป็นเอกสารสำคัญยังไม่ได้รับคืนจากทนายโจทก์คนเดิม และยังติดตามตัวทนายโจทก์คนเดิมไม่พบ แสดงว่าเดิมทนายโจทก์เข้าใจว่าเอกสารที่ใช้ประกอบคดีอยู่กับโจทก์ ต่อมาจึงได้ทราบว่าเอกสารที่ต้องการใช้อยู่กับทนายโจทก์คนเดิม และเหตุที่ไม่ได้เอกสารมาก็เนื่องจากติดตามตัวทนายความไม่ได้ ตาม ข้อเท็จจริงดังกล่าวยังไม่พอฟังว่าโจทก์มีเจตนาประวิงคดีให้ล่าช้าแต่อย่างใด ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าโจทก์มีพฤติการณ์ประวิงคดี ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น ดังนั้น จึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาในข้ออื่นของโจทก์ต่อไป
พิพากษายกคำสั่งและคำพิพากษาศาลชั้นต้น คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่ .
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ชื่อคู่ความ โจทก์ - บริษัทบางกอกแค๊ปปิตอล ลิสซิ่ง จำกัด จำเลย - นายปิยะ ผดุงถิ่น กับพวก
ชื่อองค์คณะ วิรัช ลิ้มวิชัย ระพินทร บรรจงศิลป สมชาย จุลนิติ์
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ - นายสุดสาคร เวชยชัย ศาลอุทธรณ์ - นายพิทยา บุญชู