สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 153/2534

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 153/2534

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 653 ประมวลรัษฎากร ม. 117, 118

ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 117 การขออนุญาตนำตราสารไปปิดแสตมป์ให้บริบูรณ์จะต้องกระทำก่อนหรือในขณะที่ได้นำเอกสารนั้นมาอ้างเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งก่อนศาลชั้นต้นตัดสินชี้ขาด โจทก์นำสัญญากู้ยืมเงินไปเสียอากรและเงินเพิ่มภายหลังที่ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาแล้ว จึงใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118.

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองทำหนังสือสัญญากู้ และรับเงินไปจากโจทก์จำนวน 22,600 บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จำเลยทั้งสองไม่เคยชำระต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นเวลา 1 ปี 6 เดือน 7 วันแก่โจทก์คิดเป็นดอกเบี้ย 5,150 บาท ขอบังคับให้จำเลยทั้งสองชำระเงินต้นและดอกเบี้ยรวม 27,750 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีในต้นเงิน 22,600 บาทนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์

จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า สัญญากู้ เอกสารหมาย จ.1ปิดอากรแสตมป์ แต่ไม่มีการขีดฆ่าอากรแสตมป์ ถือว่าสัญญากู้ ไม่ปิดอากรแสตมป์บริบูรณ์ สัญญากู้ ดังกล่าวจึงไม่อาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 พิพากษายกฟ้อง

ต่อมาโจทก์ขออนุญาตนำหนังสือสัญญากู้ เอกสารหมาย จ.1 ไปเสียอากรและเงินเพิ่มศาลชั้นต้นอนุญาต

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่โจทก์ขออนุญาต ต่อศาลชั้นต้นนำหนังสือสัญญากู้ ยืมเงินเอกสารหมาย จ.1 ไปเสียอากรและเงินเพิ่มเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วปรากฏ ตามสำเนาแบบขอและอนุมัติให้เสียอากรแสตมป์เป็นตัวเงิน ใบเสร็จรับเงิน และเจ้าหน้าที่ได้สลักหลังไว้ในหนังสือสัญญากู้ แล้ว อันจะถือว่าโจทก์ได้ปิดอากรแสตมป์บริบูรณ์ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 117 เป็นผลให้ศาลจำต้องรับฟังหนังสือสัญญากู้ ยืมเงินดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 หรือไม่ ประมวลรัษฎากร มาตรา 117บัญญัติว่า "ตราสารหรือหลักฐานตามความในมาตรา 116 ที่มีผู้ เสียอากรหรือเสียอากรและเงินเพิ่มอากรถ้ามี ตามความในมาตรา 113 หรือมาตรา 114 แล้วให้ถือว่าเป็นตราสารที่ปิดอากรแสตมป์บริบูรณ์ส่วนเงินเพิ่มอากรที่เรียกเก็บให้ถือเป็นเงินอากร" เห็นว่าตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว การขออนุญาตนำตราสารไปปิดแสตมป์ให้บริบูรณ์จะต้องกระทำก่อนหรือในขณะที่ได้นำตราสารนั้นมาอ้างเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งก่อนศาลชั้นต้นจะตัดสินชี้ขาด คดีนี้ปรากฏ ว่าโจทก์นำสัญญากู้ ยืมเงินเอกสารหมาย จ.1 ไปเสียอากรและเงินเพิ่มภายหลังที่ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาแล้ว ดังนั้นจึงใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้ ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 อันเป็นผลให้คดีโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานที่จะรับฟังว่าจำเลยกู้ ยืมเงินโจทก์ดังฟ้อง โจทก์จะมีเจตนาฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือไม่หาถือเป็นข้อสาระสำคัญไม่ถ้ามิได้ขีดฆ่าอากรแสตมป์อันเป็นการบกพร่องในเรื่องปิดแสตมป์บริบูรณ์แล้ว ศาลจะรับฟังเอกสารนั้นเป็นพยานหลักฐานไม่ได้ และการที่จำเลยมิได้ขาดนัดพิจารณาแต่จำเลยไม่สาบานตนให้การเป็นพยานปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ จะถือว่าจำเลยไม่ติดใจคัดค้านหนังสือสัญญากู้ ยืมเงินที่โจทก์นำมาฟ้องโดยฟังว่าจำเลยกู้ ยืมเงินโจทก์มีหลักฐานข้อเท็จจริงเป็นหนังสือแล้วโดยไม่ต้องอาศัยฟังจากเอกสารดังที่โจกท์ ฎีกานั้นย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมาย

พิพากษายืน.

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - นาย ทอง อยู่ สุข สำราญ จำเลย - นาย เฉลียว มั่นคง กับพวก

ชื่อองค์คณะ พินิจ ฉิมพาลี เสริมพงศ์ วรยิ่งยง มีพาศน์ โปตระนันทน์

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE