Deka Banner CTA

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 149/2518

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 149/2518

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1646, 1647, 1706 (2) ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 243, 247

เจ้ามรดกทำใบมอบพินัยกรรมมีข้อความว่า "ข้าพเจ้านาย ผ. ได้ยอมทำพินัยกรรมของข้าพเจ้าทั้งหมด คือ 1. นา 1 แปลง 2. สวน 1 แปลง 3. เรือน1 หลัง 4. วัว 2 ตัว ข้าพเจ้าขอมอบให้นายเซ่ม แทนน้อย ไว้รักษาเพื่อให้บุตรหลานต่อไป" เช่นนี้ เมื่อ ผ. เจ้ามรดกไม่มีบุตร คำว่า หลาน จึงหมายถึงลูกของโจทก์จำเลยที่มีชีวิตอยู่ทุกคน อันเป็นการกำหนดบุคคลซึ่งอาจทราบตัวแน่นอนได้ข้อกำหนดในใบมอบพินัยกรรมดังกล่าวจึงไม่เป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1706(2)(อ้างฎีกาที่ 941/2516)

เมื่อศาลชั้นต้นยังไม่ได้วินิจฉัยประเด็นที่ว่าเจ้ามรดกได้แสดงเจตนาทำพินัยกรรมหรือไม่ จึงยังชี้ขาดไม่ได้ว่าผู้ใดจะมีสิทธิได้รับมรดกของเจ้ามรดกหรือไม่ ศาลฎีกาย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยประเด็นดังกล่าว และพิพากษาคดีใหม่ได้

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยและนายผางเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันนายผางเป็นโสด เมื่อนายผางตาย จำเลยไปขอรับมรดกของนายผางอ้างว่ามีพินัยกรรม โจทก์คัดค้านว่าขณะนายผางทำพินัยกรรม นายผางป่วยหนัก พูดไม่ได้ ขาดสติสัมปชัญญะ พินัยกรรมของนายผางจึงไม่มีผลบังคับตามกฎหมายขอให้ศาลพิพากษาแบ่งมรดกของนายผางให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง ถ้าจำเลยไม่ยอมแบ่งก็ให้เอาทรัพย์มรดกขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งปันกัน

จำเลยให้การว่า นายผางมีเจตนาทำพินัยกรรมมอบทรัพย์มรดกให้นายเซ่มสามีจำเลยเป็นผู้รับมอบไว้ให้บุตรหลาน พินัยกรรมมีผลบังคับตามกฎหมาย โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขอแบ่ง

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ใบมอบพินัยกรรมมิได้กำหนดการเผื่อตายในเรื่องทรัพย์สินของนายผาง อันจะให้เกิดเป็นผลบังคับได้ตามกฎหมายเมื่อตนตายจึงถือไม่ได้ว่าเป็นพินัยกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1646เมื่อมิได้กำหนดระบุบุคคลที่ทราบตัวแน่นอนเป็นผู้รับทรัพย์มรดก ก็ย่อมเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1706 ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยถึงความสามารถของนายผางในขณะที่ทำพินัยกรรม พิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิได้ทรัพย์ตามฟ้องครึ่งหนึ่ง ให้จำเลยแบ่งหรือขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งกันฝ่ายละครึ่ง ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความเป็นพับ

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์จำเลยและนายผางเป็นบุตรนายลีนางพาร่วมบิดามารดาเดียวกัน โจทก์และจำเลยต่างมีบุตรคนละหลายคน นายผางไม่มีภรรยาและบุตร ก่อนนายผางตายนายผางได้ทำใบมอบพินัยกรรมไว้ และวินิจฉัยว่าใบมอบพินัยกรรมมีข้อความว่า "ข้าพเจ้านายผาง ได้ยอมทำพินัยกรรมของข้าพเจ้าทั้งหมด คือ 1. นา 1 แปลง 2. ส่วน 1 แปลง 3. เรือน 1 หลัง 4. วัว2 ตัว ข้าพเจ้าขอมอบให้นายเซ่ม แทนน้อย ไว้รักษาเพื่อให้บุตรหลานต่อไป" เช่นนี้เห็นว่า เมื่อนายผางเจ้ามรดกไม่มีบุตร คำว่า หลาน ตามใบมอบพินัยกรรมเอกสารหมาย จ.ล.1 จึงหมายถึงลูกของโจทก์จำเลยที่มีชีวิตอยู่ทุกคน อันเป็นการกำหนดบุคคลซึ่งอาจทราบตัวแน่นอนได้ ข้อกำหนดในใบมอบพินัยกรรมเอกสารหมาย จ.ล.1 จึงไม่เป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1706(2) เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 941/2516 แต่เมื่อศาลชั้นต้นยังไม่ได้วินิจฉัยประเด็นที่ว่านายผางได้แสดงเจตนาทำพินัยกรรมเอกสารหมาย จ.ล.1หรือไม่ ยังชี้ขาดไม่ได้ว่าผู้ใดจะมีสิทธิจะได้รับมรดกของนายผางบ้าง

พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวและพิพากษาใหม่

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

สารบัญ

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
sanook ข่าวสด มติชน spring
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE