คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1324/2525
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 248
โจทก์ฟ้องจำเลยเรียกเงินค่าปรับตามสัญญาประกันตัว จ.ผู้ต้องหา 30,000 บาท และฟ้องเรียกเงินค่าปรับตามสัญญาประกันตัว ฉ.ผู้ต้องหา 30,000 บาท โดยฟ้องจำเลยเรียกเงินดังกล่าวมาในฟ้องฉบับเดียวกัน ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยชำระค่าปรับราย จ. 5,000 บาท และราย ฉ.20,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยทุนทรัพย์ในคดีนี้ต้องถือตามจำนวนเงินในสัญญาประกันแต่ละฉบับ เพราะค่าปรับตามสัญญาประกันทั้ง 2 ฉบับเป็นคนละรายแบ่งแยกรับผิดเป็นส่วนสัดกัน เมื่อทุนทรัพย์แต่ละรายไม่เกิน 50,000 บาท จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2521 เจ้าพนักงานตำรวจได้จับกุมตัวนายจิ่น ก้านเหลือง และนายเฉลียว กำเหนิดโทน ในข้อหาร่วมกันพยายามฉ้อโกงทรัพย์ มอบให้พนักงานสอบสวนเพื่อทำการสอบสวน ต่อมาวันที่ 28สิงหาคม 2521 จำเลยได้ทำสัญญาประกันตัวนายจิ่น และนายเฉลียว ต่อพนักงานสอบสวนตามที่พนักงานสอบสวนกำหนด ถ้าว่าจะส่งจำเลยไม่นำตัวนายจิ่น และนายเฉลียวมาตามกำหนดนัดจำเลยยอมใช้เงินให้คนละ30,000 บาท รวมเงินตามสัญญาทั้ง 2 ฉบับเป็นเงิน 60,000 บาทพนักงานสอบสวนและโจทก์จึงปล่อยนายจิ่นกับนายเฉลียวไปชั่วคราวโดยให้ส่งตัวผู้ต้องหาทั้งสองครั้งสุดท้ายในวันที่ 5 มกราคม 2522 แต่จำเลยไม่สามารถส่งตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 ตามกำหนดนัดได้อันเป็นการผิดสัญญา และจำเลยได้ขอเลื่อนการส่งตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 อีกหลายครั้งแต่ก็ไม่สามารถส่งตัวผู้ต้องหาได้ พนักงานสอบสวนได้ทวงถามให้จำเลยชำระค่าปรับที่กำหนดไว้ตามสัญญาแต่จำเลยไม่ยอมชำระ ขอให้บังคับจำเลยชำระค่าปรับพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่าจำเลยได้ทำสัญญาประกันตัวนายจิ่นและนายเฉลียวตามที่โจทก์ฟ้องจริง โจทก์กำหนดให้ส่งตัวผู้ต้องหาครั้งสุดท้ายในวันที่ 15 มกราคม 2522 จำเลยไม่ต้องรับผิดค่าปรับถึงคนละ 30,000 บาท เพราะความผิดที่ผู้ต้องหาถูกกล่าวหามีอัตราโทษต่ำ หากจะให้จำเลยรับผิดไม่ควรเกินคนละ 10,000 บาท จำเลยได้ติดตามผู้ต้องหาทั้งสองจนส่งตัวนายจิ่นให้โจทก์ได้ในวันที่ 24 มกราคม 2522 และนายจิ่น ถูกฟ้องต่อศาลแล้ว โจทก์จึงไม่เสียหาย และจำเลยได้ติดตามจับตัวนายเฉลียวแล้วมอบให้พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอื่นควบคุมตัวไว้ และแจ้งให้โจทก์ทราบแล้ว จึงควรรับผิดไม่เกิน 20,000 บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระค่าปรับรายนายจิ่น 5,000 บาทและรายนายเฉลียว 20,000 บาท รวมเป็นเงิน 25,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย
โจทก์จำเลยต่างอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2518 มาตรา 6 บัญญัติว่า "ในคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกินห้าหมื่นบาทและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลชั้นต้นหรือเพียงแต่แก้ไขเล็กน้อยห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริง ฯลฯ" สำหรับคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยเรียกเงินค่าปรับตามสัญญาประกันตัวนายจิ่น 30,000 บาท ตามสัญญาประกันตัวนายเฉลียว30,000 บาท โดยโจทก์ฟ้องจำเลยเรียกเงินดังกล่าวรวมมาในฟ้องฉบับเดียวกันศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยชำระเงินค่าปรับตามสัญญาประกันนายจิ่นจำนวน 5,000 บาท และให้จำเลยชำระเงินค่าปรับตามสัญญาประกันตัวนายเฉลียวจำนวน 20,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยโจทก์ฎีกาขอให้จำเลยชำระค่าปรับจำนวนตามที่ระบุไว้ในสัญญาประกันซึ่งเป็นฎีกาเถียงในข้อเท็จจริง และทุนทรัพย์คดีนี้ก็ต้องถือตามจำนวนเงินในสัญญาประกันแต่ละฉบับ คือฉบับละ 30,000 บาท เพราะค่าปรับตามสัญญาทั้งสองฉบับเป็นคนละรายแบ่งแยกรับผิดเป็นส่วนสัด เมื่อทุนทรัพย์แต่ละรายไม่เกินห้าหมื่นบาทเช่นนี้ ฎีกาของโจทก์จึงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ชื่อคู่ความ โจทก์ - พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอดำเนินสะดวก โจทก์ - โดยพันตำรวจโทวสันต์ โชคพิชิต จำเลย - นายบุญชู แท่นทรัพย์
ชื่อองค์คณะ แถมชัย สิทธิไตรย์ ขจร หะวานนท์ อำนัคฆ์ คล้ายสังข์
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan