คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13/2540
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 227
คำเบิกความของผู้เสียหายที่ยืนยันว่าจำเลยที่1ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายสอดคล้องกับรายงานผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ว่าผู้เสียหายมีบาดแผลฉีกขาดที่ใต้เยื่อพรหมจารีและพบตัวอสุจิและชั้นสอบสวนจำเลยที่1ก็ให้การรับสารภาพว่าจำเลยที่1ได้กอดปล้ำข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย2ครั้งพยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงฟังได้ว่าจำเลยที่1ได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย2ครั้ง
โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 24 มกราคม 2537 เวลากลางคืนหลังเที่ยง ถึงวันที่ 25 มกราคม 2537 เวลากลางคืนหลังเที่ยงจำเลยทั้งสองกับพวก 5 คน ร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายขู่เข็ญนางสาวศ. ผู้เสียหาย ไม่ให้ขัดขืนและจำยอมไปกับจำเลยทั้งสองกับพวก ทำให้ผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ และร่วมกันฉุดพาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจาร และจำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหาย โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตและร่างกายของผู้เสียหาย บังคับให้ผู้เสียหายอยู่ในบ้านพักของผู้มีชื่อที่ตำบลหาดขาม อำเภอกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ทำให้ผู้เสียหายปราศจากเสรีภาพในร่างกาย จำเลยที่ 1 ยังใช้กำลังประทุษร้ายขู่เข็ญบังคับผู้เสียหายซึ่งมิใช่ภริยาของจำเลยที่ 1 จนผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้แล้วจำเลยที่ 1 ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจนสำเร็จความใคร่หลายครั้ง เหตุเกิดที่ตำบลกุยบุรี ตำบลหาดขาม อำเภอกุยบุรีจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เกี่ยวพันกัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276, 284, 309, 310, 83
จำเลย ทั้ง สอง ให้การ ปฎิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284 วรรคหนึ่ง, 309 วรรคสอง, 310วรรคหนึ่ง, 83 เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91ฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารและฐานข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการโดยไม่ยินยอม เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหลายหลายบทลงโทษฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 5 ปี ฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่น จำคุกคนละ 1 ปี และจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 (ที่ถูกมาตรา 276 วรรคหนึ่ง) จำคุก9 ปี รวมลงโทษจำเลยที่ 1 จำคุก 15 ปี จำเลยที่ 2 จำคุก 6 ปีจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 ลงโทษจำเลยที่ 1 จำคุก 10 ปี จำเลยที่ 2 จำคุก 4 ปี
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาเฉพาะความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 ได้กระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายหรือไม่ โจทก์มี นางสาวศ. ผู้เสียหายเบิกความยืนยันว่า เมื่อจำเลยทั้งสองกับพวก 5 ถึง 6 คน ฉุดคร่าผู้เสียหายขึ้นรถยนต์กระบะแล้วจำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์กระบะไปทางบ้านยางชุมถึงบ้านหลังหนึ่งอยู่เชิงเขา จำเลยที่ 1 จับแขนผู้เสียหายลากเข้าบ้าน พูดขู่ว่าถ้าไม่ยอมจะให้เพื่อนรุมโทรม ผู้เสียหายกลัวไม่กล้าขัดขืน เมื่อเข้าไปในบ้านแล้วจำเลยที่ 1 ปิดประตูบ้านและบอกให้จำเลยที่ 2 กับพวกนำรถยนต์กระบะไปไว้ที่หลังเขาหลังจากนั้นจำเลยที่ 1 กอดปล้ำถอดเสื้อผ้าและข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจนสำเร็จความใคร่ โดยผู้เสียหายดิ้นรนขัดขืนแต่สู้กำลังของจำเลยที่ 1 ไม่ได้ เช้าวันรุ่งขึ้นจำเลยที่ 1 ได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจติดตามจับจำเลยที่ 1 ได้ ผู้เสียหายได้ชี้ตัวจำเลยที่ 1 ให้เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมดำเนินคดีทันที คำเบิกความของผู้เสียหายสอดคล้องกับรายงานผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ตามเอกสารหมาย จ.6 ว่าผู้เสียหายมีบาดแผลฉีกขาดที่ใต้เยื่อพรหมจารียาวไปทางฝีเย็บ1 เซนติเมตร เยื่อพรหมจารีฉีกขาด และพบตัวอสุจิ และชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1 ก็ให้การรับสารภาพว่าจำเลยที่ 1 ได้กอดปล้ำข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย 2 ครั้ง ที่จำเลยที่ 1 นำสืบว่า ผู้เสียหายยินยอมให้จำเลยที่ 1 ร่วมประเวณี มีเพียงจำเลยที่ 1 เบิกความลอย ๆไม่มีพยานอื่นสนับสนุน ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคง ฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย 2 ครั้ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานนี้ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan
แหล่งที่มา สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ชื่อคู่ความ โจทก์ - พนักงานอัยการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จำเลย - นาย สุวิทย์หรือออด เที่ยงธรรม กับพวก
ชื่อองค์คณะ มงคล สระฏัน อธิราช มณีภาค วุฒิ คราวุฒิ
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan