สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 124/2562

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 124/2562

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 174 (2), 246, 252

ในชั้นที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งคำร้องขออนุญาตฎีกาและฎีกาของโจทก์ มิได้กำหนดให้โจทก์นำส่งสำเนาคำร้องและสำเนาฎีกาให้แก่จำเลยทั้งสอง เมื่อศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ฎีกาแม้ศาลชั้นต้นระบุในรายงานกระบวนพิจารณาในวันนัดฟังคำสั่งศาลฎีกาดังกล่าวซึ่งทนายโจทก์มาศาลว่า …หมายแจ้งจำเลยทั้งสองแก้ฎีกา ให้โจทก์นำส่ง ไม่มีผู้รับโดยชอบให้ปิดหมายได้ แต่ศาลชั้นต้นก็มิได้กำหนดเวลาให้โจทก์ในการนำส่งหรือวางค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายในการส่งหมายนัดแจ้งจำเลยทั้งสองให้แก้ฎีกาว่าให้โจทก์ดำเนินการภายในเวลาเท่าใด ซึ่งหากโจทก์เพิกเฉยไม่ปฏิบัติก็จะเป็นเหตุให้ศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจจำหน่ายฎีกาของโจทก์ได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 174 (2) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 252 การที่เจ้าหน้าที่ศาลรายงานว่า ทนายโจทก์ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล และเจ้าหน้าที่เคยโทรศัพท์แจ้งให้มาดำเนินการส่งหมายแล้ว แต่โจทก์หรือทนายโจทก์ไม่ได้มาดำเนินการนั้น ก็ไม่ปรากฏรายละเอียดในการติดต่อโทรศัพท์ว่าทนายโจทก์แจ้งแก่เจ้าหน้าที่ศาลว่าอย่างไร เหตุใดจึงไม่ดำเนินการตามคำสั่งศาล เนื่องจากในการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องและคำบังคับ โจทก์ก็เพียงแต่วางค่าธรรมเนียมในการส่งเท่านั้น ทนายโจทก์อาจเข้าใจว่าได้วางค่าธรรมเนียมในการส่งไว้ตั้งแต่วันยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาพร้อมฎีกาแล้ว จึงไม่ดำเนินการนำเจ้าหน้าที่ไปส่งหมายนัดให้แก่จำเลยทั้งสองและไม่วางเงินค่าธรรมเนียมในการส่งตามคำสั่งศาลชั้นต้นอีก ตามพฤติการณ์จะถือว่าโจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีอันเป็นการทิ้งฟ้องตามมาตรา 174 (2) หาได้ไม่ จึงยังไม่สมควรจำหน่ายฎีกาของโจทก์ด้วยเหตุทิ้งฟ้อง

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 485,084 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยทั้งสองให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 454,470.45 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 27 ตุลาคม 2559) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 234,681.13 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 27 ตุลาคม 2559) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ 712 บาท แก่จำเลยทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมนอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ

โจทก์ยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาพร้อมฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

ศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ฎีกาและรับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณา ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการให้จำเลยทั้งสองแก้ฎีกา เมื่อจำเลยทั้งสองยื่นคำแก้ฎีกา หรือครบกำหนดแล้ว จำเลยทั้งสองไม่ยื่นคำแก้ฎีกา ให้ศาลชั้นต้นรวบรวมสำนวนส่งคืนศาลฎีกาเพื่อดำเนินการต่อไป

ศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งศาลฎีกาเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2561 และมีคำสั่งว่า หมายแจ้งจำเลยทั้งสองแก้ฎีกา ให้โจทก์นำส่ง ไม่มีผู้รับโดยชอบให้ปิดหมายได้

เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2561 เจ้าหน้าที่รายงานต่อศาลชั้นต้นว่า โจทก์ไม่ได้มาดำเนินการนำส่งหมายดังกล่าว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รวบรวมถ้อยคำสำนวนส่งศาลฎีกาเพื่อพิจารณาสั่ง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงได้ความเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2561 โจทก์ยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาพร้อมคำฟ้องฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำร้องขออนุญาตฎีกาว่า "สำเนาให้จำเลยทั้งสองพร้อมฎีกา รวบรวมถ้อยคำสำนวนส่งศาลฎีกาเพื่อพิจารณา" และสั่งในฎีกาว่า "รอไว้สั่งเมื่อศาลฎีกามีคำสั่งแล้ว" ในวันเดียวกันโจทก์ยื่นคำแถลงขอให้ส่งหมายเรียกและสำเนาฎีกาให้แก่จำเลยทั้งสองโดยวิธีปิดหมาย โดยวางค่าใช้จ่ายหรือค่าธรรมเนียมในการส่งไว้ 400 บาท ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ให้ปิดหมายได้ และออกหมายนัดแจ้งจำเลยทั้งสองว่า "ด้วยคดีนี้ โจทก์ยื่นฎีกาและคำร้องขออนุญาตฎีกา ได้ส่งสำเนาฎีกาและสำเนาคำร้องมาให้ทราบพร้อมหมายนี้แล้ว เพราะฉะนั้นจึงแจ้งมาเพื่อทราบ" โดยเจ้าหน้าที่นำค่าธรรมเนียมในการส่งที่โจทก์วางไว้มาใช้ในการส่งหมายดังกล่าว และจำเลยทั้งสองได้รับหมายนัดโดยวิธีปิดหมายเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2561 ต่อมาวันที่ 15 สิงหาคม 2561 ศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งศาลฎีกาที่ ครพ. 1589/2561 ที่มีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ฎีกาและรับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณา โดยมีเพียงทนายโจทก์มาศาล ส่วนจำเลยทั้งสองไม่มา ศาลชั้นต้นจึงเกษียนสั่งในฎีกาของโจทก์ว่า "ศาลฎีกามีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์แล้ว" และจดรายงานกระบวนพิจารณาไว้ด้านหลังคำสั่งศาลฎีกาดังกล่าวว่า "อ่านคำสั่งศาลฎีกาให้คู่ความที่มาศาลฟังแล้ว หมายแจ้งจำเลยทั้งสองแก้ฎีกา ให้โจทก์นำส่ง ไม่มีผู้รับโดยชอบให้ปิดหมายได้" โดยมีทนายโจทก์ลงลายมือชื่อไว้ท้ายรายงานกระบวนพิจารณา แล้วศาลชั้นต้นออกหมายนัดเพื่อแจ้งจำเลยทั้งสองว่า "ศาลฎีกาอนุญาตให้โจทก์ฎีกา และมีคำสั่งรับฎีกา ได้ส่งสำเนามาให้ทราบก่อนหน้านี้แล้ว ให้ทำคำแก้ยื่นต่อศาลภายใน 15 วัน นับแต่วันที่รับหรือถือว่าได้รับหมายนี้" วันที่ 9 ตุลาคม 2561 เจ้าหน้าที่รายงานต่อศาลชั้นต้นว่า "จนถึงบัดนี้ทนายโจทก์ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล ทั้งนี้ ข้าพเจ้าได้เคยโทรศัพท์แจ้งให้มาดำเนินการนำส่งหมายแล้ว โจทก์หรือทนายโจทก์ก็มิได้มาดำเนินการแต่ประการใด" ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้รวบรวมถ้อยคำสำนวนส่งศาลฎีกาเพื่อพิจารณาสั่ง เห็นว่า จากข้อความที่ศาลชั้นต้นเกษียนสั่งในคำร้องขออนุญาตฎีกาและฎีกาของโจทก์เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2561 มิได้กำหนดให้โจทก์นำส่งสำเนาคำร้องและสำเนาฎีกาให้แก่จำเลยทั้งสอง และที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในรายงานกระบวนพิจารณาในการอ่านคำสั่งศาลฎีกาเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2561 ก็มิได้กำหนดเวลาให้แก่โจทก์ในการนำส่งหรือวางค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายในการส่งหมายนัดว่าให้ดำเนินการภายในเวลาเท่าใด ซึ่งหากโจทก์เพิกเฉยไม่ปฏิบัติก็จะเป็นเหตุให้ศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจจำหน่ายฎีกาของโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174 (2) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 252 ส่วนที่เจ้าหน้าที่รายงานต่อศาลชั้นต้นดังกล่าวก็ไม่ปรากฏรายละเอียดในการติดต่อทางโทรศัพท์ว่าทนายโจทก์แจ้งแก่เจ้าหน้าที่ว่าอย่างไร เหตุใดจึงไม่ดำเนินการตามคำสั่งศาล เนื่องจากในการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องและคำบังคับโจทก์ก็เพียงแต่วางค่าธรรมเนียมในการส่งเท่านั้น ทนายโจทก์อาจเข้าใจว่าได้วางค่าธรรมเนียมในการส่งไว้ตั้งแต่วันที่ยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาพร้อมคำฟ้องฎีกาก็เพียงพอแล้ว จึงไม่ดำเนินการนำเจ้าหน้าที่ไปส่งหมายนัดให้แก่จำเลยทั้งสองและไม่วางค่าธรรมเนียมในการส่งตามคำสั่งศาลชั้นต้นอีก ดังนั้น ตามพฤติการณ์ดังกล่าวจะถือว่าโจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีอันเป็นการทิ้งฟ้องตามมาตรา 174 (2) หาได้ไม่ ศาลฎีกายังไม่เห็นสมควรที่จะสั่งจำหน่ายฎีกาของโจทก์ด้วยเหตุทิ้งฟ้อง

จึงมีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นดำเนินการส่งหมายนัดแจ้งให้จำเลยทั้งสองแก้ฎีกาโดยกำหนดเวลาให้โจทก์นำส่งหรือวางค่าธรรมเนียมในการส่ง หากโจทก์ไม่ดำเนินการภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด หรือหากมีการส่งหมายแล้วจำเลยทั้งสองยื่นคำแก้ฎีกา หรือครบกำหนดแล้วจำเลยทั้งสองไม่ยื่นคำแก้ฎีกา ให้ศาลชั้นต้นรวบรวมสำนวนส่งคืนศาลฎีกาเพื่อดำเนินการต่อไป

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา พ.1243/2561

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - นาย ว. จำเลย - ห้างหุ้นส่วนจำกัด ภ. กับพวก

ชื่อองค์คณะ สมพงษ์ เหมวิมล สุนทร เฟื่องวิวัฒน์ ปวีณณา ศรีวงษ์

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา - นางสาวอนัญญา ทองดำรงชัย ศาลอุทธรณ์ภาค 1 - นายกษิดิศ มงคลศิริภัทรา

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE