คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1225/2539
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1629 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 148 วรรคหนึ่ง
โจทก์คดีก่อนและโจทก์คดีนี้แม้จะเป็นบุคคลคนละคนแต่ต่างก็เป็นทายาทของถ. และต่างก็ฟ้องคดีเรียกคืนที่ดินพิพาทโดยอ้างสิทธิในฐานะทายาทผู้สืบสิทธิจากถ. ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินพิพาทคนเดียวกันจึงถือได้ว่าโจทก์คดีก่อนและโจทก์ในคดีนี้เป็นคู่ความเดียวกันและการที่ศาลชั้นต้นได้พิพากษายกฟ้องในคดีก่อนโดยอ้างเหตุว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบตามฟ้องถือได้ว่าเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นแห่งคดีแล้วฉะนั้นการที่โจทก์ฟ้องคดีนี้โดยมีคำขออย่างเดียวกับคดีก่อนจึงเป็นการฟ้องคดีที่ให้มีการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันฟ้องโจทก์ในคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา148วรรคหนึ่ง
โจทก์ฟ้องว่า เดิมนายถ่อนบิดาโจทก์กู้ยืมเงินนายพองสามีจำเลย จำนวน 2,000 บาท โดยนายถ่อนมอบที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครอง ส.ค.1 เลขที่ 789 (53) ให้นายพองยึดถือเป็นประกันและทำประโยชน์ต่างดอกเบี้ย ต่อมาเมื่อนายถ่อนและนายพองถึงแก่กรรม โจทก์นำเงินกู้ดังกล่าวไปชำระให้จำเลย แต่จำเลยเรียกให้ชำระเป็นเงินจำนวน 14,000 บาท จึงไม่สามารถตกลงกันได้ ขอให้บังคับจำเลยยอมรับชำระเงินกู้ และให้จำเลยส่งมอบที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครอง ส.ค.1 เลขที่ 789 (53) แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า นายพองซื้อที่ดินพิพาทจากนายถ่อนบิดาของโจทก์ หลังจากนั้นนายพองและจำเลยก็เข้าครอบครองทำประโยชน์ตลอดมาฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่574/2536 ของศาลชั้นต้น ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่านายถ่อนเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินตาม ส.ค.1 เลขที่ 789 (53)ตำบลตำแย อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ เดิมเมื่อนายถ่อนถึงแก่กรรมแล้ว นางออน บุตรนายถ่อนในฐานะทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของนายถ่อนเป็นโจทก์ฟ้องนางเปลี่ยนภริยาของนายพองเป็นจำเลย โดยมีใจความว่า นายถ่อนครั้งเมื่อยังมีชีวิตอยู่ได้กู้ยืมเงินจากนายพองแล้วมอบที่ดินตาม ส.ค.1ดังกล่าวให้นายพองทำกินต่างดอกเบี้ยและเป็นหลักประกันการกู้ยืมเงิน ต่อมาเมื่อนายถ่อนและนายพองถึงแก่กรรมแล้ว โจทก์ได้นำเงินไปชำระหนี้เงินกู้ให้จำเลยเพื่อขอไถ่ที่ดินที่นายถ่อนมอบให้ทำกินต่างดอกเบี้ยและเป็นหลักประกันดังกล่าว แต่จำเลยไม่ยอม จึงขอให้บังคับจำเลยยอมรับชำระหนี้เงินกู้ ซึ่งโจทก์ในฐานะทายาทของนายถ่อนชำระแทนและให้จำเลยส่งมอบที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครอง ส.ค.1 เลขที่ 789 (53) ดังกล่าว คืนแก่โจทก์ในคดีดังกล่าวโจทก์ไม่มีพยานมาสืบ ศาลชั้นต้นจึงสั่งงดสืบพยานและพิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุดตามคดีแพ่ง หมายเลขแดงที่ 574/2536ของศาลชั้นต้น ต่อมาโจทก์ซึ่งเป็นบุตรอีกคนหนึ่งของนายถ่อนฟ้องจำเลยเกี่ยวกับที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นคดีนี้โดยบรรยายเหตุแห่งการฟ้องและมีคำขอให้บังคับจำเลยเหมือนกับในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 574/2536 ของศาลชั้นต้น มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์ในคดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่574/2536 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ ในข้อนี้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 วรรคแรก บัญญัติไว้ว่า "คดีที่ได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดแล้วห้ามมิให้คู่ความเดียวกันรื้อร้องฟ้องกันอีก ในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน เว้นแต่" เห็นว่า แม้ในคดีก่อนและในคดีนี้นางออนและโจทก์ซึ่งเป็นผู้ฟ้องคดีจะเป็นบุคคลคนละคนแต่ทั้งนางออนและโจทก์ต่างก็เป็นทายาทของนายถ่อนและต่างก็ฟ้องคดีเรียกคืนที่ดินพิพาทโดยอ้างสิทธิในฐานะเป็นทายาทผู้สืบสิทธิจากนายถ่อนซึ่งเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินพิพาทคนเดียวกันจึงถือได้ว่านางออนและโจทก์เป็นคู่ความเดียวกัน และการที่ศาลชั้นต้นได้พิพากษายกฟ้องในคดีก่อนโดยอ้างเหตุว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบตามฟ้อง ถือได้ว่าเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นแห่งคดีแล้วฉะนั้นการที่โจทก์ฟ้องคดีนี้โดยมีคำขออย่างเดียวกันกับคดีก่อนจึงเป็นการฟ้องคดีที่ให้มีการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันฟ้องโจทก์ในคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว
พิพากษายืน
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ชื่อคู่ความ โจทก์ - นาย บรรเจิด ไชยสวัสดิ์ จำเลย - ในฐานะทายาทของนายถ่อน ไชยสวัสดิ์ นางเปลี่ยน พลาธรณ์
ชื่อองค์คณะ สันติ ทักราล อุดม มั่งมีดี สวรรค์ ศักดารักษ์
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan