คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1093/2522
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 137, 172 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 134
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134 ผู้ต้องหาจะให้การอย่างใดหรือไม่ให้การเลยก็ได้ เป็นสิทธิของผู้ต้องหาที่จะให้การอย่างใดก็ได้ แม้คำให้การของผู้ต้องหาจะไม่เป็นความจริง ก็ไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน
พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาแก่จำเลยว่าขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บสาหัส แล้วสอบสวนจดคำให้การของจำเลยไว้ ต่อมามีพยานหลักฐานว่าผู้อื่นเป็นผู้ขับรถชนผู้เสียหายมิใช่จำเลย พนักงานสอบสวนเห็นว่าคำให้การของจำเลยที่จดไว้เป็นความเท็จจึงแจ้งข้อหาจำเลยเพิ่มเติมว่าแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานดังนี้ คำให้การของจำเลยที่พนักงานสอบสวนจดไว้เป็นคำให้การในฐานะผู้ต้องหาแม้ไม่เป็นความจริง จำเลยก็ไม่มีความผิดฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้บังอาจนำข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาไปแจ้งต่อร้อยตำรวจเอกโสภณสารวัตรสืบสวนสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลบางขุนเทียน ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนคดีอาญาเรื่องขับรถยนต์โดยประมาทระหว่างนางสาวสุปัญจาผู้เสียหาย นายเลิศผู้ต้องหา โดยจำเลยแจ้งว่า "เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2519 เวลาประมาณ 20 นาฬิกาเศษ จำเลยได้ขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ก.ท.ห.7782 เข้าไปในซอยศิลปเดช จำเลยเห็นนางสาวสุปัญจายืนหลบรถของจำเลยอยู่ทางขอบซอยด้านซ้ายมือ แต่หลบไม่พ้นกระจกมองหลังด้านซ้ายมือของรถได้ปะทะถูกใบหน้าของนางสาวสุปัญจาถึงประเสริฐ" ซึ่งเป็นความเท็จเพราะความจริงผู้ขับรถยนต์คันดังกล่าวในขณะเกิดเหตุคือนายเลิศ หรือบุญเลิศ มิใช่จำเลย ทั้งนี้เพื่อจะช่วยนายเลิศมิให้ถูกดำเนินคดี การกระทำของจำเลยทำให้นางสาวสุปัญจา ร้อยตำรวจเอกโสภณได้รับความเสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 172 จำคุก 6 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อพันตำรวจตรีโสภณพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาแก่จำเลยว่าขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ชนผู้อื่นได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้วหลบหนีไม่แจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่นั้น พนักงานสอบสวนได้สอบสวนจำเลยไว้ตามเอกสารหมาย จ.5 ต่อมาเมื่อพนักงานสอบสวนเห็นว่าพยานโจทก์ยืนยันว่านายบุญเลิศเป็นคนขับรถชนผู้เสียหาย จำเลยไม่ได้เป็นผู้ขับ พนักงานสอบสวนเห็นว่าคำให้การจำเลยตามเอกสารหมาย จ.5 เป็นความเท็จ จึงแจ้งข้อหาจำเลยเพิ่มเติมว่าแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงาน แล้ววินิจฉัยว่า คำให้การของจำเลยตามเอกสารหมาย จ.5 เป็นคำให้การในฐานะผู้ต้องหาในคดีขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ชนผู้อื่นได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้วหลบหนี ไม่แจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134 ผู้ต้องหาจะให้การอย่างใดหรือไม่ให้การเลยก็ได้ เป็นสิทธิของผู้ต้องหาที่จะให้การอย่างใดก็ได้แม้คำให้การของผู้ต้องหาจะไม่เป็นความจริง ก็ไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน
พิพากษายืน
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ชื่อคู่ความ โจทก์ - พนักงานอัยการกรมอัยการ จำเลย - นายสัมฤทธิ์ ลอยฟ้า
ชื่อองค์คณะ สุวัฒน์ รัตรสาร จันทร์ ระรวยทรง สุไพศาล วิบุลศิลป์
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan