คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1063/2532
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 118
โจทก์และจำเลยต่างมอบอำนาจให้ ส. เป็นผู้ไปทำหนังสือสัญญาขายฝากที่ดินพิพาท ส. ได้ขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมทำสัญญาขายฝากที่ดินพิพาทต่อเจ้าพนักงานที่ดินแล้วสัญญาขายฝากที่ทำขึ้นย่อมเป็นนิติกรรมที่โจทก์จำเลยมีเจตนาให้มีผลผูกพันกันตามสัญญา มิใช่มีเจตนาอำพรางแต่อย่างใด จำเลยจะอ้างว่ามีเจตนาอำพรางสัญญาจำนองหาได้ไม่.
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยจดทะเบียนขายฝากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างรวม7 โฉนด ไว้แก่โจทก์ในราคา 5,200,000 บาท กำหนดไถ่คืนภายใน 2 ปีจำเลยมิได้นำเงินมาไถ่คืนภายในกำหนดโจทก์จึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ขอให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ห้ามเกี่ยวข้องต่อไป ให้ใช้ค่าเสียหาย 3,000,000 บาทแก่โจทก์ และให้ใช้ค่าเสียหายเดือนละบาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารส่งมอบที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างแก่โจทก์
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า สัญญาขายฝากเป็นนิติกรรมอำพรางสัญญาจำนองที่ตกลงกันให้จำเลยจำนองที่ดิน 7 โฉนดพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันเงินที่จำเลยกู้ยืมโจทก์ จำนวน 3,800,000 บาทกับดอกเบี้ย 1,400,000 บาท สัญญาขายฝากจึงไม่ผูกพันโจทก์และจำเลยโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่และไม่ได้รับความเสียหายขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ 714,999.99 บาทและค่าเสียหายอัตราเดือนละ 50,000 บาทนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยโดยฟังข้อเท็จจริงว่า "…เมื่อวันที่ 12กันยายน 2520 จำเลยได้ทำหนังสือสัญญาขายฝากที่ดินรวม 7 โฉนด ที่ดินโฉนดที่ 543,46248,11619,11620,11621,11622 และ 11623 แขวงสามเสนใน(บางซื่อฝั่งใต้) เขตดุสิต (บางซื่อ) กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้กับโจทก์มีกำหนด 2 ปี เป็นจำนวนเงิน 5,200,000 บาทในการทำหนังสือสัญญาขายฝากและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ร้อยโทสมาน เกษรอินทร์ เป็นผู้รับมอบอำนาจ มีอำนาจจัดการแทนโจทก์จำเลย ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.12 จ.16 และ จ.17 ครบกำหนดตามสัญญาขายฝาก จำเลยไม่ได้ใช้สิทธิไถ่ทรัพย์สินที่ขายฝาก ที่จำเลยฎีกาว่าสัญญาขายฝากที่พิพาทระหว่างโจทก์จำเลยเป็นนิติกรรมอำพรางสัญญาจำนองที่ดินนั้น จำเลยเบิกความว่าได้จำนองที่ดินไว้กับธนาคารเอเชียและถูกฟ้องบังคับจำนอง ต่อมาพันเอกพล เริงประเสริฐวิทย์ รับจะนำเงินมาให้เพื่อชำระหนี้ธนาคาร และเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2520พันตรีสมาน ศรีศรอินทร์ ได้นำแคชเชียร์เช็คจำนวนเงิน 3,800,000 บาทสั่งจ่ายในนามของโจทก์ตามเอกสารหมาย ล.1 มาให้จำเลยชำระหนี้แก่ธนาคารและไถ่ถอนจำนองเมื่อได้โฉนดมา จำเลยจึงได้มอบโฉนดพร้อมกับทำหนังสือมอบอำนาจให้พันตรีสมาน ไปทำสัญญาจำนองที่ดินกับโจทก์พันตรีสมาน ศรีศรอินทร์เบิกความว่า เมื่อได้รับโฉนดและหนังสือมอบอำนาจจากจำเลยแล้ว ได้นำไปมอบให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามหนังสือสัญญาขายฝากที่พิพาทปรากฏว่าร้อยโทสมาน เกษรอินทร์ เป็นผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์จำเลยไปทำหนังสือสัญญาขายฝากที่พิพาทมีกำหนด 2 ปี ตามเอกสารหมาย จ.12 และหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.16 จ.17 นายสะอาด ชมบุญ เจ้าพนักงานที่ดินซึ่งรับจดทะเบียนสัญญาขายฝากเบิกความว่าก่อนจดทะเบียนเจ้าหน้าที่ได้สอบสวนเรื่องราวการขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมแล้วพยานได้สอบถามได้ความว่า จำเลยมีความประสงค์ขายฝากที่พิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างแก่โจทก์ และได้ตรวจลายมือชื่อผู้มอบอำนาจแล้วถูกต้องจึงได้รับจดทะเบียนให้ตามสัญญาขายฝาก เอกสารหมาย จ.12 ฟังได้ว่าร้อยโทสมาน เกษรอินทร์ หรือพันตรีสมาน ศรีศรอินทร์ เป็นผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์จำเลยได้ไปขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมทำสัญญาขายฝากที่พิพาทต่อเจ้าพนักงานที่ดิน สัญญาขายฝากตามเอกสารหมาย จ.12เป็นนิติกรรมที่โจทก์จำเลยมีเจตนาให้มีผลผูกพันกันตามสัญญา มิได้มีเจตนาอำพรางสัญญาจำนองแต่อย่างใด ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทไม่มีสิทธิขับไล่และเรียกค่าเสียหายนั้นเมื่อจำเลยไม่ได้ใช้สิทธิไถ่คืนภายในกำหนดสัญญาขายฝากกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทตามสัญญาขายฝากยังคงเป็นของโจทก์อยู่ โจทก์จึงมีสิทธิขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลย…"
พิพากษายืน
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan
แหล่งที่มา สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ชื่อคู่ความ โจทก์ - นาง ภัทรพร จูภาวัง จำเลย - พันเอก เสวตร กุศล วงศ์
ชื่อองค์คณะ สุทิน นนทแก้ว พนม พ่วงภิญโญ ประเสริฐ บุญศรี
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan