คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1028/2567
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 341 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 158
องค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงตาม ป.อ. มาตรา 341 ต้องประกอบด้วยผู้หลอกลวงมีเจตนาทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และผลของการหลอกลวงนั้นทำให้ผู้หลอกลวงได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามทำ ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยหลอกลวงว่าจะขายรถกระบะให้แก่โจทก์ โดยจำเลยให้โจทก์ชำระเงินมัดจำในวันทำสัญญาพร้อมกับส่งมอบรถให้โจทก์ครอบครอง ราคารถส่วนที่เหลือให้โจทก์ผ่อนชำระ 30 งวด เมื่อผ่อนถึงงวดที่ 30 จำเลยจะมารับเงินค่ารถเองพร้อมนำใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์มาทำการโอนเป็นชื่อโจทก์ โจทก์ผ่อนชำระ 29 งวด แล้วทวงถามให้จำเลยจดทะเบียนโอนเปลี่ยนชื่อในใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์เป็นชื่อโจทก์ จำเลยนัดหมายจะมาดำเนินการให้แต่ผิดนัดไม่มาตามสัญญา แสดงว่าจำเลยไม่มีใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์ที่จะส่งมอบและโอนให้แก่โจทก์มาแต่แรก มีเจตนาที่จะหลอกลวงโจทก์ด้วยข้อความอันเป็นเท็จเป็นเหตุให้ได้เงินไปจากโจทก์ โดยตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์มิได้ยืนยันข้อเท็จจริงว่า ขณะทำสัญญาขายรถนั้น จำเลยไม่มีเจตนาที่จะจดทะเบียนโอนเปลี่ยนชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์รถเป็นชื่อของโจทก์มาตั้งแต่แรก อันเนื่องจากตนเองไม่มีใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์และไม่สามารถที่จะทำการจดทะเบียนโอนให้แก่โจทก์ได้ แต่หลอกลวงว่ามีใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์หรือปกปิดข้อความจริงดังกล่าวไว้ การที่จำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญา มิใช่ข้อที่จะยืนยันว่าจำเลยหลอกลวงโดยมีเจตนาทุจริตตั้งแต่แรก อันเป็นองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกง การกระทำของจำเลยตามที่โจทก์บรรยายฟ้องมาคงเป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่ง มิใช่เป็นการหลอกลวงอันจะเป็นความผิดฐานฉ้อโกง การกระทำของจำเลยตามที่โจทก์บรรยายฟ้องมาจึงไม่มีมูลความผิดทางอาญาฐานฉ้อโกง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 จำคุก 1 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นควรวินิจฉัยเสียก่อนว่า การกระทำของจำเลยตามที่โจทก์บรรยายฟ้องมานั้นมีมูลความผิดทางอาญาฐานฉ้อโกงหรือไม่ เห็นว่า องค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ต้องประกอบด้วยผู้หลอกลวงมีเจตนาทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และผลของการหลอกลวงนั้นทำให้ผู้หลอกลวงได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามทำ ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องได้ความว่า จำเลยหลอกลวงว่าจะขายรถกระบะให้แก่โจทก์ โดยจำเลยให้โจทก์ชำระเงินมัดจำในวันทำสัญญาพร้อมกับส่งมอบรถให้โจทก์ครอบครอง ราคารถส่วนที่เหลือให้โจทก์ผ่อนชำระ 30 งวด เมื่อผ่อนถึงงวดที่ 30 จำเลยจะมารับเงินค่ารถเองพร้อมนำใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์มาทำการโอนเป็นชื่อโจทก์ โจทก์ผ่อนชำระ 29 งวด แล้วทวงถามให้จำเลยจดทะเบียนโอนเปลี่ยนชื่อในใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์เป็นชื่อโจทก์ จำเลยนัดหมายจะมาดำเนินการให้แต่ผิดนัดไม่มาตามสัญญา แสดงให้เห็นว่าจำเลยไม่มีใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์ที่จะส่งมอบและโอนให้แก่โจทก์มาแต่แรก ถือว่ามีเจตนาที่จะหลอกลวงโจทก์ด้วยข้อความอันเป็นเท็จเป็นเหตุให้ได้เงินไปจากโจทก์ เมื่อพิจารณาองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงประกอบคำบรรยายฟ้องของโจทก์แล้ว องค์ประกอบแรกจำเลยผู้หลอกลวงต้องมีเจตนาทุจริตมาตั้งแต่แรก หลอกลวงโจทก์ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง แต่ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์มิได้ยืนยันข้อเท็จจริงว่าขณะทำสัญญาขายรถนั้น จำเลยไม่มีเจตนาที่จะจดทะเบียนโอนเปลี่ยนชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์รถเป็นชื่อของโจทก์มาตั้งแต่แรก อันเนื่องจากตนเองไม่มีใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์และไม่สามารถที่จะทำการจดทะเบียนโอนให้แก่โจทก์ได้ แต่หลอกลวงว่ามีใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์หรือปกปิดข้อความจริงดังกล่าวไว้ การที่จำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญา มิใช่ข้อที่จะยืนยันว่าจำเลยหลอกลวงโดยมีเจตนาทุจริตตั้งแต่แรก อันเป็นองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกง การกระทำของจำเลยตามที่โจทก์บรรยายฟ้องมาคงเป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่ง มิใช่เป็นการหลอกลวงอันจะเป็นความผิดฐานฉ้อโกง ดังนั้น การกระทำของจำเลยตามที่โจทก์บรรยายฟ้องมานั้นไม่มีมูลความผิดทางอาญาฐานฉ้อโกง ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 และประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยข้อเท็จจริงแล้วพิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล เมื่อฟังได้ดังนี้แล้ว กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงตามฎีกาของโจทก์ต่อไปอีกเพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป
พิพากษายืน
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา อ.1137/2566
แหล่งที่มา หนังสือคำพิพากษาศาลฎีกา


