คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2567

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3081

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3006 - 3081/2567

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 577 พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ม. 13, 20, 118 วรรคหนึ่ง

อายุงานหรือระยะเวลาที่ลูกจ้างทำงานติดต่อกันให้แก่นายจ้างตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 118 วรรคหนึ่ง หมายถึง ระยะเวลาตั้งแต่ลูกจ้างเริ่มต้นทำงานให้แก่นายจ้างต่อเนื่องกันไปจนสัญญาจ้างสิ้นสุดลง ระยะเวลาการทำงานให้แก่นายจ้างนี้ต้องต่อเนื่องติดต่อกันไปไม่ขาดตอน ดังนั้น หากลูกจ้างทำงานให้แก่นายจ้างมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง แล้วสัญญาจ้างสิ้นสุดลง ไม่ว่าด้วยการลาออกหรือเลิกจ้าง แม้ต่อมานายจ้างกับลูกจ้างจะตกลงผูกนิติสัมพันธ์เป็นนายจ้างและลูกจ้างกันใหม่ อายุงานตามสัญญาจ้างเดิมที่สิ้นสุดและขาดตอนไปแล้ว ย่อมไม่อาจนำมานับรวมกับระยะเวลาการทำงานในภายหลังอีก เว้นแต่นายจ้างกับลูกจ้างจะตกลงกันให้นับอายุงานเดิมของลูกจ้างรวมเข้ากับระยะเวลาการทำงานภายหลัง หรือกรณีมีกฎหมายบัญญัติให้ลูกจ้างมีสิทธิได้นับอายุงานเดิมรวมเข้ากับระยะเวลาการทำงานใหม่ เช่น พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 20 ลูกจ้างจึงจะมีสิทธินับระยะเวลาการทำงานให้แก่นายจ้างในทุก ๆ ช่วงเวลารวมเข้าด้วยกัน

แม้ก่อนหน้านี้จำเลยที่ 1 จะเคยทำสัญญาจ้างโจทก์ที่ได้รับอนุญาตให้ฎีกาทำงานเป็นลูกจ้างมาก่อนก็ตาม แต่สัญญาจ้างงานแต่ละฉบับได้สิ้นสุดลงไปก่อนแล้ว ภายหลังจากสัญญาจ้างสิ้นสุดลง จะมีผู้ประมูลงานรายใหม่ที่ชนะประมูลทำสัญญาจ้างงานโจทก์ดังกล่าวทำงานเป็นลูกจ้าง นิติสัมพันธ์การเป็นนายจ้างลูกจ้างและการทำงานระหว่างจำเลยที่ 1 กับโจทก์ที่ได้รับอนุญาตให้ฎีกาตามสัญญาจ้างฉบับก่อนหน้านี้ได้จบสิ้นลงและขาดตอนไปแล้ว เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าการจ้างงานตามสัญญาจ้างฉบับหลัง จำเลยที่ 1 และโจทก์ที่ได้รับอนุญาตให้ฎีกาตกลงกันให้นำอายุงานตามสัญญาจ้างฉบับเดิมรวมเข้ากับระยะเวลาการทำงานตามสัญญาจ้างฉบับหลัง กรณีจึงไม่อาจนำอายุงานเดิมมานับรวมเข้ากับระยะเวลาการทำงานตามสัญญาจ้างฉบับหลังนี้

ส่วนที่โจทก์ที่ได้รับอนุญาตให้ฎีกาเคยทำงานเป็นลูกจ้างผู้ชนะประมูลงานรายอื่นได้แก่สหกรณ์บริการผู้ปฏิบัติงาน ทศท.จำกัด และบริษัท ว. จะเห็นได้ว่า นายจ้างเหล่านี้กับจำเลยที่ 1 เป็นคนละนิติบุคคลกัน ดังนั้นระยะเวลาที่โจทก์ที่ได้รับอนุญาตให้ฎีกาทำงานเป็นลูกจ้างให้แก่สหกรณ์บริการผู้ปฏิบัติงาน ทศท. จำกัด ก็ดี บริษัท ว. ก็ดี ย่อมถือไม่ได้ว่าเป็นระยะเวลาที่ทำงานให้แก่จำเลยที่ 1 เมื่อสัญญาจ้างแรงงานทุกฉบับที่ทำขึ้นระหว่างนายจ้างผู้ชนะประมูลงานกับโจทก์ที่ได้รับอนุญาตให้ฎีกา ไม่มีข้อความแสดงถึงข้อตกลงให้นับอายุงานเดิมรวมเข้ากับระยะเวลาการทำงานกับนายจ้างผู้ชนะการประมูลงานรายใหม่ กรณีจึงนำอายุงานที่ทำงานกับนายจ้างเหล่านี้มานับรวมเข้ากับระยะเวลาการทำงานให้แก่จำเลยที่ 1 ไม่ได้ นอกจากนี้ การที่สัญญาจ้างแรงงานฉบับเดิมสิ้นสุดลง จากนั้นมีการทำสัญญาจ้างแรงงานฉบับใหม่กับนายจ้างรายใหม่โดยที่นายจ้างเดิม นายจ้างใหม่ และลูกจ้าง ไม่ได้ทำข้อตกลงเกี่ยวกับเรื่องการโอนสิทธิการเป็นนายจ้างแก่กัน ย่อมถือไม่ได้ว่าเป็นกรณีที่นายจ้างเดิมตกลงโอนสิทธิความเป็นนายจ้างให้แก่นายจ้างใหม่โดยลูกจ้างยินยอมพร้อมใจด้วย อันจะมีผลทำให้นายจ้างใหม่ต้องนับอายุงานเดิมรวมเข้ากับอายุงานใหม่ให้แก่ลูกจ้างตาม ป.พ.พ. มาตรา 577 วรรคหนึ่ง ทั้งไม่ใช่เป็นกรณีการเปลี่ยนแปลงตัวนายจ้าง หรือกรณีนายจ้างที่เป็นนิติบุคคล มีการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลง โอน หรือควบกับนิติบุคคลใด ที่มีผลทำให้ลูกจ้างไปเป็นลูกจ้างของนายจ้างใหม่ และนายจ้างใหม่ต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่อันเกี่ยวกับลูกจ้างนั้นทุกประการตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 13 ดังนั้น จำเลยที่ 1 จึงไม่มีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องนับอายุงานเดิมของโจทก์ที่ได้รับอนุญาตให้ฎีการวมเข้ากับระยะเวลาการทำงานตามสัญญาจ้างแรงงานฉบับสุดท้าย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2794

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2794/2567

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1490 (4)

เมื่อ ป.พ.พ. มาตรา 1490 (4) มิได้ให้นิยามหรือคำจำกัดความของคำว่าสัตยาบันไว้เป็นการเฉพาะ จึงต้องพิจารณาความหมายตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ซึ่งพอสรุปได้ว่า สัตยาบัน คือ การยืนยันรับรองความตกลงหรือการรับรองนิติกรรม และเป็นที่เข้าใจกันได้ว่า บุคคลจะยืนยันรับรองความตกลงหรือรับรองนิติกรรมใดได้ ย่อมต้องมีข้อตกลงหรือนิติกรรมเช่นนั้นเกิดขึ้นเสียก่อนแล้วจึงให้สัตยาบัน การให้สัตยาบันของสามีหรือภริยาแก่หนี้ที่อีกฝ่ายก่อขึ้นตามมาตรา 1490 (4) ย่อมมีลักษณะเฉกเช่นเดียวกัน กล่าวคือ ต้องมีหนี้เกิดขึ้นเสียก่อนสามีหรือภริยาถึงจะให้สัตยาบันได้ การให้ความยินยอมในขณะที่ยังไม่มีความตกลง ไม่มีนิติกรรมหรือไม่มีหนี้เกิดขึ้น ย่อมไม่ต้องด้วยความหมายของการให้สัตยาบัน โจทก์ไม่อาจถือเอาหนังสือยินยอมคู่สมรสที่จำเลยที่ 7 ทำไว้ต่อโจทก์ตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2548 มาเป็นการให้สัตยาบันแก่หนี้ที่จำเลยที่ 1 ก่อให้เกิดขึ้นในภายหลังเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2558 และวันที่ 3 มิถุนายน 2558 ได้ กรณีไม่ต้องด้วยบทบัญญัติตาม ป.พ.พ. มาตรา 1490 (4)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2656

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2656/2567

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1599, 1600 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 23 ประมวลรัษฎากร ม. 57 ทวิ พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 ม. 17

กำหนดระยะเวลาฟ้องคดีต่อศาลภาษีอากรกรณีที่ผู้อุทธรณ์ไม่พอใจคำวินิจฉัยอุทธรณ์ตาม พ.ร.บ.ภาษีการรับมรดก พ.ศ. 2558 มาตรา 26 วรรคห้า เป็นระยะเวลาที่เกี่ยวด้วยวิธีพิจารณาความแพ่งที่ศาลภาษีอากรกลางมีอำนาจขยายได้โดยอาศัยอำนาจตาม ป.วิ.พ. มาตรา 23 ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 17

พ.ร.บ.ภาษีการรับมรดก พ.ศ. 2558 ไม่ได้นิยามความหมายของคำว่า มรดก ไว้ จึงต้องพิจารณาความหมายตาม ป.พ.พ. มาตรา 1600 ซึ่งบัญญัติว่า กองมรดกของผู้ตายได้แก่ ทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตาย ตลอดทั้งสิทธิหน้าที่และความรับผิดต่าง ๆ โดยมาตรา 1599 บัญญัติให้มรดกนั้นตกทอดแก่ทายาททันทีเมื่อเจ้ามรดกถึงแก่ความตาย ดังนั้น วันที่ได้รับมรดกที่เป็นเหตุให้ผู้รับมรดกมีหน้าที่เสียภาษีการรับมรดกจึงหมายถึงวันที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย เพราะหากถือวันที่ผู้รับมรดกได้รับเอามรดกตามจริง นอกจากไม่เป็นไปตามบทบัญญัติดังกล่าวแล้วก็ยังจะเป็นผลให้เกิดความไม่แน่นอนในการจัดเก็บภาษีที่ขึ้นอยู่กับอำเภอใจของผู้รับมรดกว่าจะรับเอามรดกเมื่อใด ซึ่งยากต่อการบังคับใช้กฎหมายของทุกฝ่าย ดังนี้ การคำนวณมูลค่าของเงินฝากหรือเงินอื่นใดที่มีลักษณะทำนองเดียวกันตามบัญชีเงินฝากธนาคารพิพาทที่เจ้ามรดกมีสิทธิเรียกถอนคืนหรือมีสิทธิเรียกร้องจากสถาบันการเงิน ซึ่งตามกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณมูลค่าของทรัพย์สินที่ต้องเสียภาษีการรับมรดก พ.ศ. 2559 ข้อ 5 ให้ถือเอาตามมูลค่าของเงินฝากหรือเงินอื่นใดที่มีลักษณะทำนองเดียวกันรวมทั้งดอกเบี้ยหรือผลประโยชน์อื่นใดที่จะได้รับจากเงินดังกล่าวในวันที่ได้รับมรดกนั้นจึงต้องถือเอาตามมูลค่าของเงินฝากรวมทั้งดอกเบี้ยที่ได้รับจากเงินดังกล่าวที่พึงมีในวันที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย ดังนั้น รายการฝาก รายการดอกเบี้ย และรายการเงินปันผลที่มีขึ้นหลังจากเจ้ามรดกถึงแก่ความตายซึ่งไม่อาจฟังได้ว่าเป็นทรัพย์สินที่เจ้ามรดกมีสิทธิได้รับในขณะถึงแก่ความตาย ตลอดจนรายการหนี้สินต่าง ๆ ที่มีขึ้นหลังจากเจ้ามรดกถึงแก่ความตายซึ่งฟังไม่ได้ว่าเป็นหนี้ของกองมรดกในขณะที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย จึงไม่ต้องนำมารวมคำนวณและหักมูลค่าเพื่อเสียภาษีการรับมรดก

การจัดเก็บภาษีเงินได้ตาม ป.รัษฎากร มาตรา 57 ทวิ เป็นการเก็บภาษีจากกองมรดกของเจ้ามรดกที่มีหลักเกณฑ์เป็นการเฉพาะ แต่การจัดเก็บภาษีตาม พ.ร.บ.ภาษีการรับมรดก พ.ศ. 2558 เป็นการเก็บภาษีจากทายาทผู้รับมรดกซึ่งเป็นคนละหน่วยภาษีกัน โดย พ.ร.บ.ภาษีการรับมรดก พ.ศ. 2558 บัญญัติถึงกรณีการเสียภาษีการรับมรดกของทายาทไว้โดยเฉพาะ ไม่จำต้องถือตาม ป.รัษฎากร มาตรา 57 ทวิ

เจ้ามรดกเป็นเจ้าของหุ้นกู้ของบริษัท ซ. ซึ่งในขณะที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย หุ้นกู้ดังกล่าวยังไม่ครบกำหนดไถ่ถอน ทรัพย์มรดกที่โจทก์ได้รับขณะเจ้ามรดกถึงแก่ความตายคือหุ้นกู้และสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้นั้น ไม่ใช่เงินฝากจากเงินค่าไถ่ถอนหุ้นกู้ที่เข้ามาในบัญชีเงินฝากธนาคารหลังจากเจ้ามรดกถึงแก่ความตาย การคำนวณมูลค่าของหุ้นกู้ที่เป็นทรัพย์มรดกจึงต้องเป็นไปตาม พ.ร.บ.ภาษีการรับมรดก พ.ศ. 2558 มาตรา 15 (3) และกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณมูลค่าของทรัพย์สินที่ต้องเสียภาษีการรับมรดก พ.ศ. 2559 ข้อ 3 (2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2630

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2630/2567

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1381, 1605 วรรคหนึ่ง, 1754 ประมวลกฎหมายที่ดิน ม. 63

พฤติการณ์แห่งคดีบ่งชี้ชัดว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนายักย้ายปิดบังที่ดินโฉนดเลขที่ 21914 เนื้อที่ 200 ตารางวา ซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายโดยฉ้อฉลหรือรู้อยู่ว่าตนทำให้เสื่อมประโยชน์ของทายาทคนอื่นแล้ว จำเลยที่ 1 จึงต้องถูกกำจัดมิให้ได้รับมรดกเฉพาะในส่วนของที่ดินโฉนดเลขที่ 21914 เนื้อที่ 200 ตารางวา ที่จำเลยที่ 1 ยักย้ายปิดบังไว้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1605 วรรคหนึ่ง เมื่อที่ดินทั้งหมดมี 2 ไร่ 63 ตารางวา แม้การถูกกำจัดมิให้รับมรดกจะถือว่าผู้ถูกกำจัดมิให้รับมรดกมิใช่ทายาทอันจะยกอายุความขึ้นต่อสู้โจทก์ได้ก็ตาม แต่จำเลยที่ 1 ถูกกำจัดมิให้ได้รับมรดกเฉพาะส่วนที่ได้ยักย้ายปิดบังที่ดินพิพาทในเนื้อที่ 200 ตารางวา เท่านั้น จำเลยที่ 1 จึงยังมีฐานะเป็นทายาทอันจะยกอายุความขึ้นต่อสู้โจทก์ในส่วนของที่ดินส่วนที่เหลือที่ไม่ได้ถูกกำจัดมิให้ได้รับมรดกได้

การที่จำเลยที่ 1 ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทเป็นการครอบครองทรัพย์มรดกที่ยังมิได้แบ่งปันกันเป็นการครอบครองแทนโจทก์และทายาทอื่นของผู้ตาย และแม้ต่อมาจำเลยที่ 1 จะโอนที่ดินพิพาทบางส่วนให้แก่จำเลยที่ 2 โดยมีค่าตอบแทน แต่จำเลยที่ 1 ไม่ได้บอกกล่าวไปยังทายาททุกคนว่า ไม่มีเจตนายึดถือทรัพย์มรดกแทนทายาททุกคนต่อไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 1381 เท่ากับจำเลยที่ 1 ยังไม่ได้เปลี่ยนเจตนาไปยึดถือครอบครองทรัพย์มรดกแทนทายาทอื่น ถือได้ว่าที่จำเลยที่ 1 ครอบครองที่ดินพิพาทของผู้ตายนั้น เป็นการครอบครองแทนทายาทอื่นด้วย มิใช่เป็นการครอบครองเพื่อตนเองโดยลำพัง จำเลยที่ 1 จึงจะยกอายุความหนึ่งปีตาม ป.พ.พ. มาตรา 1754 ขึ้นต่อสู้โจทก์ไม่ได้ ดังนั้นโจทก์ในฐานะทายาทโดยธรรมของผู้ตายย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกที่ดินพิพาทอันเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายจากจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายได้ คดีของโจทก์ไม่ขาดอายุความ

จำเลยรู้ดีว่าโฉนดที่ดินไม่ได้สูญหายดังที่ไปแจ้งความ แต่โจทก์เป็นฝ่ายครอบครองอยู่ การที่จำเลยไปแจ้งความว่าโฉนดที่ดินสูญหายแล้วนำสำเนารายงานประจำวันรับแจ้งเอกสารหายไปขอให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการออกใบแทนโฉนดที่ดิน จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานและฐานแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ดังนั้นเมื่อการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จของจำเลยที่ 1 ทำให้เจ้าพนักงานที่ดินหลงเชื่อว่าโฉนดที่ดินเลขที่ 21914 สูญหายไปจริงจึงออกใบแทนโฉนดที่ดินให้ ทั้งที่โฉนดที่ดินยังอยู่ในความยึดถือครอบครองของโจทก์มาโดยตลอดและไม่ได้สูญหายไป ใบแทนโฉนดจึงเป็นใบแทนโฉนดที่ดินที่ออกมาโดยมิชอบด้วยกฎหมายและไม่มีผลให้โฉนดที่ดินเลขที่ 21914 ฉบับเจ้าของที่ดินซึ่งอยู่ในความยึดถือครอบครองของโจทก์ถูกยกเลิกไปตาม ป.ที่ดิน มาตรา 63 วรรคหนึ่งและวรรคสอง กรณีมีเหตุให้ต้องเพิกถอนใบแทนโฉนดที่ดินเลขที่ 21914

การที่จำเลยที่ 1 ขายที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2 เกิดจากการกระทำที่ไม่สุจริตและไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 2 จึงรีบโอนที่ดินพิพาทต่อไปอีกทอดหนึ่ง ดังนั้นเมื่อใบแทนโฉนดที่ดินเลขที่ 21914 เป็นใบแทนโฉนดที่ดินที่ออกมาโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ย่อมไม่มีผลให้โฉนดที่ดินเลขที่ 21914 ฉบับเจ้าของที่ดินซึ่งอยู่ในความยึดถือครอบครองของโจทก์ถูกยกเลิก ทั้งไม่อาจใช้เป็นหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินที่จะนำไปจดทะเบียนและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ตามป.พ.พ.ได้ตามป.ที่ดิน มาตรา 63 วรรคหนึ่งและวรรคสอง, 72 การจดทะเบียนใส่ชื่อจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมโดยมีค่าตอบแทนในที่ดินพิพาท 200 ตารางวา และแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ในส่วนของจำเลยที่ 2 เป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 68594 จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย การที่จำเลยที่ 2 รับซื้อที่ดินดังกล่าวมาจากจำเลยที่ 1 ซึ่งไม่มีสิทธิขายให้แก่จำเลยที่ 2 แล้ว แม้จำเลยที่ 2 จะรับโอนมาโดยเสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนแล้วก็ตาม จำเลยที่ 2 ก็ไม่มีสิทธิในที่ดินดังกล่าว ซึ่งเป็นไปตามหลักที่ว่าผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอนกรณีจึงมีเหตุให้เพิกถอนรายการสารบัญจดทะเบียนในใบแทนโฉนดที่ดินและเพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ 68594

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2628

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2628/2567

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1720, 1723, 1726, 1736 วรรคสอง

ป.พ.พ. บรรพ 6 ลักษณะ 4 วิธีการจัดการและแบ่งปันทรัพย์มรดก หมวด 1 ผู้จัดการมรดก ว่าด้วยการจัดตั้งผู้จัดการมรดกคนเดียวหรือหลายคน และวิธีการจัดการมรดกกรณีผู้จัดการมรดกหลายคนซึ่งต้องตกลงกันด้วยเสียงข้างมาก เมื่อตกลงกันได้แล้วจึงดำเนินการรวบรวมจำหน่ายทรัพย์มรดกเป็นตัวเงิน ทำการชำระหนี้แก่เจ้าหนี้กองมรดก กับการแบ่งปันทรัพย์มรดกในหมวด 2 ว่าด้วยการรวบรวมจำหน่ายทรัพย์มรดกเป็นตัวเงิน และการชำระหนี้กับแบ่งทรัพย์มรดก ซึ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 1736 วรรคสอง บัญญัติว่า ในระหว่างเวลาเช่นนั้น ผู้จัดการมรดกชอบที่จะกระทำการใด ๆ ในทางจัดการมรดกตามที่จำเป็น เช่นฟ้องคดีหรือแก้ฟ้องในศาลและอื่น ๆ ดังนี้ จะเห็นได้ว่าการกระทำในทางธรรมชาติของการจัดการมรดกโดยผู้จัดการมรดกหลายคนนั้นไม่อาจกระทำได้ด้วยผู้จัดการมรดกพร้อมกันทุกคน ทั้งตามบทกฎหมายก็มิได้บัญญัติว่าการกระทำตามหน้าที่ของผู้จัดการมรดกหลายคนนั้น ต้องร่วมกันทำหรือร่วมกันลงชื่อในนิติกรรมพร้อมกันทุกคนทุกคราวไป เพียงแต่ต้องกระทำการด้วยตนเองเว้นแต่จะกระทำการโดยตัวแทนตามอำนาจที่ให้ไว้ชัดแจ้งหรือโดยปริยายในพินัยกรรมหรือโดยคำสั่งศาล เนื่องเพราะผู้จัดการมรดกทุกคนต้องร่วมรับผิดต่อทายาทและบุคคลภายนอกดังเช่นตัวแทนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1720 และ 1723 ฉะนั้น การกระทำใดของผู้จัดการมรดกคนหนึ่งหรือหลายคนโดยมีผู้เห็นด้วยเป็นส่วนมากหรือได้รับความยินยอมของผู้จัดการมรดกคนอื่นแล้ว ก็ต้องถือว่าเป็นการจัดการมรดกร่วมกันโดยเสียงข้างมาก หาจำต้องให้ผู้จัดการมรดกเสียงส่วนข้างน้อยเข้าร่วมจัดการด้วยไม่

ศาลแพ่งมีคำสั่งตั้ง บ. ซึ่งเป็นผู้ร้อง และโจทก์ซึ่งเป็นผู้คัดค้าน ร่วมกันเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย บ. และโจทก์มีการนัดประชุมผู้จัดการมรดก เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2562 บ. ทวงถามให้โจทก์ทำการแบ่งปันเงินสดหรือทรัพย์มรดก แต่โจทก์ปฏิเสธไม่ทำหน้าที่จัดการมรดกของผู้ตาย การที่ บ. ได้ตั้งให้ อ. และ ป. เป็นผู้มีอำนาจเข้าประชุมผู้จัดการมรดก เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2562 แทน บ. ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1723 ที่ประชุมพิจารณาและมีมติให้ดำเนินการฟ้องเรียกทรัพย์คืนโดยฝ่ายทายาทไม่ประสงค์จะเข้าร่วม โดยท้ายรายงานการประชุมดังกล่าวได้แนบบัญชีทรัพย์สินในกลุ่มที่ 3 ระบุชื่อจำเลยจำนวน 5 รายการ คือ อันดับที่ 14 ถึงอันดับที่ 20 ซึ่งตรงกับรายการในเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 15 แผ่นที่ 5 อันดับ 11, 13, 14, 20 และ 26 ซึ่งแสดงว่า บ. รู้เห็นและยินยอมการที่โจทก์จะฟ้องจำเลยโดยไม่โต้แย้งคัดค้าน ตามพฤติการณ์แห่งคดีถือได้ว่า บ. ในฐานะผู้จัดการมรดกร่วมรู้เห็นและยินยอมให้โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ เพื่อรวบรวบทรัพย์สินของผู้ตายเข้าสู่กองมรดกนำไปแบ่งปันให้แก่ทายาทตามกฎหมาย อันเป็นการจัดการมรดกร่วมกันโดยเสียงข้างมากตามความหมายแห่ง ป.พ.พ. มาตรา 1726 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องเรียกที่ดิน ห้องชุด และเงินพิพาทส่วนของผู้ตายคืนจากจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2624

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2624/2567

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 91, 328

จำเลยโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กของจำเลยรวม 9 ครั้ง ต่างวันเวลากัน แต่ละครั้งของการโพสต์ข้อความมีการแสดงความคิดเห็นโต้ตอบและแสดงข้อเท็จจริงกับบุคคลอื่นที่ได้เข้ามาแสดงความคิดเห็นของแต่ละการโพสต์ข้อความเป็นส่วน ๆ แยกต่างหากจากกันของแต่ละโพสต์ข้อความของจำเลยในลักษณะที่ยืนยันข้อเท็จจริงที่แตกต่างกันออกไป จำเลยกระทำโดยเจตนาใส่ความมุ่งประสงค์ที่จะทำลายชื่อเสียงของโจทก์หลาย ๆ ครั้ง เพื่อให้โจทก์ได้รับความเสียหายหลายครั้งและมีบุคคลอื่นได้มาอ่านข้อความที่จำเลยโพสต์หลาย ๆ คน โดยมีการโพสต์ข้อความโต้ตอบกับจำเลยในแต่ละโพสต์แยกต่างหากจากกัน แสดงให้เห็นถึงเจตนาของจำเลยที่ต้องการยืนยันข้อเท็จจริงแต่ละอย่างแต่ละครั้งแยกต่างหากจากกัน และประสงค์ต่อผลให้โจทก์เสียชื่อเสียงในแต่ละเรื่องแต่ละครั้งที่จำเลยโพสต์แตกต่างกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน มิใช่เป็นการกระทำกรรมเดียวและมีเจตนาเดียว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2527

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2527/2567

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 700 วรรคหนึ่ง

การที่โจทก์มีหนังสือไปยังจำเลยที่ 1 ว่าโจทก์ผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระหนี้ตามที่กำหนดในสัญญาเช่าซื้อรวม 6 งวด ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 บอกปัดไม่ประสงค์รับการผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระหนี้ตามเงื่อนไขของโจทก์ เมื่อการพักชำระหนี้ค่าเช่าซื้อ 6 งวด ดังกล่าวเป็นผลให้กำหนดเวลาชำระค่าเช่าซื้องวดสุดท้ายที่กำหนดไว้เลื่อนออกไปจากเดิม พฤติการณ์ถือว่าเป็นกรณีที่โจทก์ยอมผ่อนเวลาให้แก่จำเลยที่ 1 ส่วนหนังสือธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ ธปท.ฝนส.(01) ว.380/2563 เรื่องมาตรการการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้เพิ่มเติมในช่วงสถานการณ์การระบาดของ COVID -19 ข้อ 2 (3) ระบุว่า ผู้ประกอบธุรกิจที่ได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ตามมาตรการที่ ธปท. กำหนดนี้เป็นเพียงมาตรการผ่อนปรนเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ระยะเร่งด่วน ซึ่งไม่จำเป็นต้องขยายระยะเวลาการชำระหนี้เสร็จสิ้นตามสัญญา อันเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบธุรกิจพึงกระทำได้ แต่หากมีการขยายระยะเวลาการชำระหนี้เสร็จสิ้นตามสัญญาออกไป ขอให้ถือปฏิบัติตาม ป.พ.พ. ที่เกี่ยวข้องกับหลักประกันและผู้ค้ำประกัน ข้อ 2 (3) นี้มีความชัดเจนอยู่ในตัวว่าหากจะขยายระยะเวลาการชำระหนี้เสร็จสิ้นตามมาตรการที่กำหนดนี้ อย่างไรเสียก็จะต้องดำเนินการภายใต้บังคับ ป.พ.พ. ลักษณะ 11 ค้ำประกัน และ พ.ร.ก.การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 19 เมษายน 2563 ภายหลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยออกมาตรการการให้ความช่วยเหลือและโจทก์มีหนังสือพักชำระหนี้แล้ว จึงฟังไม่ได้ว่าที่โจทก์พักชำระหนี้ให้แก่จำเลยที่ 1 เป็นการดำเนินการตามพระราชกำหนดฉบับดังกล่าว พระราชกำหนดฉบับดังกล่าวมีเจตนารมณ์ในการให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจซึ่งเป็นภาคธุรกิจที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศและเป็นแหล่งจ้างงานที่สำคัญของระบบเศรษฐกิจ คดีนี้ข้อเท็จจริงปรากฏเพียงว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาเป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์ไปจากโจทก์ โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันเท่านั้น ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 อยู่ในฐานะเป็นผู้ประกอบวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมตามความหมายที่กำหนดในพระราชกำหนดแต่อย่างใด กรณีจึงไม่อาจนำบทบัญญัติแห่งพระราชกำหนดฉบับดังกล่าวมาใช้บังคับแก่ลูกหนี้รายจำเลยที่ 1 ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันตกลงด้วยในการผ่อนเวลาให้แก่จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 700 วรรคหนึ่ง

โจทก์อุทธรณ์และฎีกาเฉพาะแต่ในปัญหาเรื่องความรับผิดของจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกัน คดีในชั้นอุทธรณ์และฎีกาจึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ต้องเสียค่าขึ้นศาล 200 บาท และไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาลอนาคต แต่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลมาตามทุนทรัพย์และค่าขึ้นศาลอนาคตมาด้วย จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาส่วนที่เกิน 200 บาท ให้แก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2358

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2358/2567

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 156, 172 วรรคสอง, 412, 1104, 1114

สัญญาซื้อขายมีข้อความระบุชัดเจนว่า โจทก์ตกลงซื้อประโยชน์ตอบแทนในรูปแบบรายได้ใด ๆ อันเกิดจากการขาย ให้เช่า หรือความตกลงใด ๆ ซึ่งคล้ายกันที่เกี่ยวกับที่ดิน ผ่านการจัดสรรหุ้นในบริษัทจำเลยที่ 1 โดยผู้ซื้อจะได้รับผลประโยชน์ตอบแทนของหุ้นดังกล่าวและสินทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ที่จะสร้างรายได้ด้วยการขาย ให้เช่าหรือการทำความตกลงใด ๆ สัญญาระบุประโยชน์ตอบแทนอันเกิดจากสัญญาว่า โจทก์ตกลงซื้อ Preferential share units ในบริษัทจำเลยที่ 1 จำนวน 5 หน่วย ซึ่งเท่ากับ 5 หน่วย ในทรัพย์สินของบริษัทจำเลยที่ 1 และเพื่อตอบแทนการลงทุนของโจทก์ ผู้ขายตกลงให้ประโยชน์ตอบแทนจากรายได้ซึ่งเกิดขึ้นจากการขาย ให้เช่าหรือความตกลงใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับที่ดินซึ่งยังมิได้พัฒนาตามที่ระบุไว้ในเอกสาร A ท้ายข้อตกลง และระบุผลประโยชน์เหนือทรัพย์สินตามสัญญาว่า สิทธิเหนือทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 จะนำไปจดทะเบียนต่อกรมที่ดิน และประโยชน์ของโจทก์ในหน่วยลงทุนของจำเลยที่ 1 จะมีการจดแจ้งลงในเอกสารบริษัทโดยมีหลักฐานเป็นใบหุ้น ข้อตกลงดังกล่าวแสดงว่า โจทก์จะได้รับประโยชน์ตอบแทนจากการพัฒนาที่ดินผ่านการลงทุนในหน่วยลงทุน โดยมีจำเลยที่ 1เป็นผู้รับรองการลงทุนและเข้าพัฒนาที่ดินตามวัตถุที่ประสงค์แห่งสัญญา เมื่อโจทก์ได้เข้าซื้อหน่วยลงทุนในการพัฒนาที่ดินแล้ว จำเลยที่ 1 จะจดแจ้งสิทธิในการได้รับประโยชน์ตอบแทนจากการลงทุนลงในเอกสารของบริษัทจำเลยที่ 1 และหลักฐานใบหุ้น อันมีลักษณะเป็นการต่างตอบแทน จึงมิใช่สัญญาสองฝ่ายที่โจทก์ในฐานะผู้ซื้อตกลงเข้าซื้อหุ้นบุริมสิทธิในบริษัทจำเลยที่ 1 จากบริษัท ร . ในฐานะผู้ขายเท่านั้น แต่สัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาซื้อขายหน่วยลงทุนในการพัฒนาที่ดินซึ่งรวมผลประโยชน์ที่โจทก์จะได้รับจากการพัฒนาที่ดินของจำเลยที่ 1 และการเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทจำเลยที่ 1 เข้าด้วยกัน โดยมีบริษัท ร. กระทำการเสนอขายแทนจำเลยที่ 1 ดังนั้น จำเลยที่ 1 จึงเป็นคู่สัญญากับโจทก์โดยตรงด้วย นอกจากนี้พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 กรรมการผู้มีอำนาจจดแจ้งโจทก์เข้าเป็นผู้ถือหุ้นและยื่นส่งสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นดังกล่าวต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทอันเป็นการตอบแทนการลงทุนของโจทก์ ย่อมแสดงโดยชัดแจ้งว่าโจทก์ได้ชำระเงินสำหรับหน่วยลงทุนพัฒนาที่ดินตามสัญญาดังกล่าวสมประโยชน์ของจำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 1 จึงจดแจ้งรับรองสิทธิให้แก่โจทก์เป็นการต่างตอบแทน หากโจทก์มิได้ชำระเงินสำหรับหน่วยลงทุนดังกล่าว ย่อมไม่มีเหตุที่จำเลยที่ 1 จะจดแจ้งโจทก์ซึ่งไม่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องใด ๆ กับจำเลยที่ 1 เข้าเป็นผู้ถือหุ้นของจำเลยที่ 1 ข้ออ้างของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ว่า จำเลยที่ 1 ไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ไม่มีน้ำหนักรับฟังหักล้างพยานโจทก์ได้

เมื่อหนังสือโฆษณาชี้ชวนให้โจทก์เข้าร่วมลงทุนและสัญญาซื้อขายกล่าวถึงการลงทุนพัฒนาที่ดินในประเทศไทยลักษณะ Land Banking โดยมีจำเลยที่ 1 ดูแลพัฒนาที่ดินและเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ที่ได้รับจากการพัฒนา บริษัทผู้ทำการโฆษณาชี้ชวนมีข้อความคำว่า ทรัสต์อยู่ในชื่อนิติบุคคลคือบริษัท ร. อันแสดงถึงรูปแบบการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่มีผู้ดูแลบริหารจัดการและจัดเก็บผลประโยชน์คืนแก่ผู้ลงทุนหรือทรัสต์ ตามความเข้าใจของบุคคลทั่วไป ตลอดจนการระบุประโยชน์ตอบแทนการลงทุนของโจทก์ว่า ผู้ขายตกลงให้โจทก์ได้รับประโยชน์ตอบแทนจากรายได้ในการขาย ให้เช่าหรือความตกลงใด ๆ ซึ่งคล้ายกันที่เกี่ยวกับที่ดิน กับข้อตกลงที่ระบุในสัญญาซื้อขายว่า ประโยชน์ของโจทก์ในหน่วยลงทุนของจำเลยที่ 1 จะมีการจดแจ้งลงในเอกสารบริษัทโดยมีหลักฐานเป็นใบหุ้น ล้วนแสดงว่าจำเลยที่ 1 ผู้ดูแลจัดการและบริหารที่ดินต้องกระทำการพัฒนาที่ดินตามความสามารถและวิชาชีพของผู้ดูแลจัดการบริหารอสังหาริมทรัพย์ เพื่อแสวงประโยชน์นำมาจัดสรรให้แก่ผู้ลงทุน ต้องจดแจ้งให้ปรากฏซึ่งหลักฐานการรับรองสิทธิของโจทก์ในเอกสารของบริษัท แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำการพัฒนาที่ดินดังกล่าว ทั้งยังคัดชื่อโจทก์ออกจากบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นในบริษัทจำเลยที่ 1 โดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ นอกจากนี้ จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยที่ 1 ในขณะทำสัญญาซื้อขายพิพาท ยังเป็นผู้ก่อตั้งและถือหุ้นใหญ่ในบริษัท อ. ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทจำเลยที่ 1 กับทั้งจำเลยที่ 2 เป็นผู้ดำเนินการจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์เข้าเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทจำเลยที่ 1 ตามที่ระบุไว้ในสัญญาซื้อขายพิพาท และยังเป็นผู้จัดให้จำเลยที่ 3 ลงนามรับรองใบหุ้นของจำเลยที่ 1 ที่ส่งมอบเป็นหลักฐานแก่โจทก์ เมื่อพิจารณาพฤติการณ์ที่จำเลยที่ 1 เป็นบริษัทซึ่งมีทุนจดทะเบียนสูงถึง 65,000,000 บาท นับเป็นผู้ประกอบธุรกิจขนาดใหญ่ ทำการเสนอขายหน่วยลงทุนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยคิดเป็นเงินลงทุนจำนวนมากแก่ชาวต่างชาติหลายราย แต่กลับไม่ปรากฏการดำเนินธุรกิจที่สร้างรายได้อย่างชัดเจนในประเทศไทย และไม่ปรากฏว่าบริษัทจำเลยที่ 1 มีกรรมการผู้มีอำนาจหรือบุคคลธรรมดารายอื่นเกี่ยวข้องกระทำการใดต่อบุคคลภายนอกเว้นแต่จำเลยที่ 2 เพียงคนเดียวที่เกี่ยวข้องดำเนินการเกี่ยวกับนักลงทุนซึ่งเข้าซื้อหน่วยลงทุนดังกล่าว น่าเชื่อว่าจำเลยที่ 2 ตั้งบริษัทจำเลยที่ 1 ขึ้นเพื่อหลอกลวงเงินลงทุนจำนวนมากจากชาวต่างชาติ โดยไม่มีเจตนาดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จริงตามที่ระบุในเอกสารโฆษณาชี้ชวนและสัญญาซื้อขายและเป็นการกระทำเพื่อแสวงประโยชน์แก่จำเลยที่ 2 โดยตรง การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงเป็นการหลอกลวงโจทก์ในลักษณะแบ่งหน้าที่กันทำเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ส่วนจำเลยที่ 3 นั้น แม้จะอ้างว่ามิได้ร่วมรู้เห็นถึงการกระทำของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นพี่เขย แต่จำเลยที่ 3 เข้าลงชื่อในใบหุ้นที่จำเลยที่ 2 นำมาให้แล้วจำเลยที่ 2 นำไปส่งมอบแก่โจทก์อันเป็นส่วนหนึ่งในการหลอกลวงเงินลงทุนจากโจทก์ ข้อที่จำเลยที่ 3 อ้างว่าไม่มีความรู้เกี่ยวกับภาษาอังกฤษที่ระบุในใบหุ้นนั้น จำเลยที่ 3 กลับยินยอมลงชื่อในเอกสารที่ตนไม่เข้าใจ ผิดปกติวิสัยของวิญญูชน จำเลยที่ 3 พักอาศัยอยู่ในที่ดินอันเป็นทรัพย์สินซึ่งจำเลยที่ 1 นำไปใช้ในการหลอกลวงนักลงทุน ทั้งยังเป็นผู้ดูแลที่ดินและรับเงินค่าตอบแทนจากจำเลยที่ 1 อันแสดงว่าจำเลยที่ 3 ได้รับประโยชน์ตอบแทนจากการกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ด้วย การหลอกลวงโจทก์ตามฟ้องไม่อาจบรรลุผลให้โจทก์หลงเชื่อได้โดยสมบูรณ์หากปราศจากการแสดงหลักฐานใบหุ้นของจำเลยที่ 1 ซึ่งมีจำเลยที่ 3 ลงชื่อรับรองในฐานะเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจนั้น เชื่อว่าจำเลยที่ 3 มีเจตนาร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 หลอกลวงโจทก์ ในลักษณะแบ่งหน้าที่กันทำกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ด้วย จำเลยที่ 3 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 การที่โจทก์หลงเชื่อจากการหลอกลวงและทำสัญญา ซื้อหน่วยลงทุนกับชำระเงินลงทุนให้แก่จำเลยทั้งสามโดยเข้าใจว่าจะได้รับผลประโยชน์จากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยตามหนังสือโฆษณาชี้ชวนดังกล่าว ถือไม่ได้ว่าโจทก์ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง และเป็นกรณีที่โจทก์แสดงเจตนาลงทุนตามสัญญาซื้อขายโดยสำคัญผิดในสิ่งที่เป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมจึงตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 156 มีผลเท่ากับการซื้อหน่วยลงทุนดังกล่าวมิได้เกิดมีขึ้น จึงต้องคืนทรัพย์ฐานลาภมิควรได้ตามมาตรา 172 วรรคสอง โดยต้องคืนเต็มจำนวนตามมาตรา 412

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2017

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2017/2567

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1134, 1138, 1139 วรรคสอง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 55

โจทก์ฟ้องบังคับตามบันทึกข้อตกลงโดยมีคำขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันส่งมอบหุ้น 1,260 หุ้น คืนแก่โจทก์ กับให้ดำเนินการเปลี่ยนแปลงบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น จัดทำและยื่นบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ดังนั้น การที่จะบังคับตามคำขอของโจทก์ดังกล่าว จึงต้องปฏิบัติตามข้อบังคับของบริษัทจำเลยที่ 4 และข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องด้วย โดย ป.พ.พ. มาตรา 1134 บัญญัติให้บริษัทออกใบหุ้นให้แก่ผู้ถือหุ้นเมื่อมีข้อบังคับของบริษัทอนุญาตไว้ มาตรา 1138 บัญญัติให้บริษัทจำกัดต้องมีสมุดจดทะเบียนผู้ถือหุ้นมีรายการตามที่กำหนด และมาตรา 1139 วรรคสอง บัญญัติให้เป็นหน้าที่ของกรรมการที่จะส่งสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ที่ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นอยู่ทั้งหมดในเวลาที่ประชุม และรายชื่อผู้ที่ขาดจากเป็นผู้ถือหุ้นนับแต่วันประชุมสามัญครั้งที่แล้วไปยังนายทะเบียนอย่างน้อยปีละครั้ง จากบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว จึงเป็นหน้าที่ของบริษัทจำเลยที่ 4 หรือกรรมการของจำเลยที่ 4 ซึ่งกระทำการในนามบริษัทจำเลยที่ 4 ที่จะต้องออกใบหุ้น และดำเนินการเปลี่ยนแปลงบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นให้แก่โจทก์เพื่อให้การโอนหุ้นตามบันทึกข้อตกลงมีผลสมบูรณ์ ดังนี้ แม้จำเลยที่ 4 มิได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ทำบันทึกข้อตกลงในคดีอาญา โจทก์ก็มีอำนาจฟ้องบริษัทจำเลยที่ 4 ให้ร่วมดำเนินการตามคำขอของโจทก์ในส่วนนี้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2086

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2086/2567

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 46, 137, 267, 268 วรรคหนึ่ง

คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องเกี่ยวกับการกระทำความผิดของจำเลยว่าจำเลยมอบอำนาจให้ ม. ยืนคำขอจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมกรรมการของบริษัท ด. โดยมีกรรมการเข้าใหม่ 1 คน คือ พ. และกรรมการออกจากตำแหน่ง 2 คน คือ โจทก์ทั้งสองแสดงว่าการกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นเพียงแต่แจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อนายทะเบียน เพื่อให้จดข้อความอันเป็นเท็จนั้นลงในทะเบียนสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดสมุทรสงครามเท่านั้น มิใช่เป็นเรื่องการนำเอกสารทางทะเบียนอันจดข้อความเท็จดังกล่าวไปใช้แต่อย่างใด การกระทำของจำเลยตามที่โจทก์กล่าวมาในคำฟ้อง จึงไม่เป็นความผิดฐานใช้เอกสารอันเกิดจากการกระทำความผิดฐานแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชนหรือเอกสารราชการตาม ป.อ. มาตรา 268 วรรคหนึ่ง มาตรา 267 ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยมาในปัญหาข้อนี้ถูกต้องแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

« »
ติดต่อเราทาง LINE