คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2567
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5856/2567
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1523
ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1523 วรรคสอง ซึ่งบัญญัติว่า "สามีจะเรียกค่าทดแทนจากผู้ซึ่งล่วงเกินภริยาไปในทำนองชู้สาวก็ได้และภริยาจะเรียกค่าทดแทนจากหญิงอื่นที่แสดงตนโดยเปิดเผยเพื่อแสดงว่าตนมีความสัมพันธ์กับสามีในทำนองชู้สาวก็ได้" จากบทบัญญัติดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า การที่ภริยาเรียกค่าทดแทนจากหญิงอื่นโดยไม่มีเงื่อนไขต้องฟ้องหย่าสามีมาด้วยนั้น ต้องปรากฏพฤติการณ์ด้วยว่าหญิงอื่นนั้นได้แสดงตนโดยเปิดเผยว่ามีความสัมพันธ์กับสามีโจทก์อย่างไร เมื่อโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยมีพฤติการณ์แสดงตนโดยเปิดเผยอย่างไร อันเป็นประเด็นแห่งคดีที่โจทก์จะนำสืบถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าทดแทนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1523 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5579/2567
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 5, 1523 วรรคสอง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 142 (5), 246, 252 พระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 ม. 182/1 วรรคสอง
เมื่อพิจารณาจากคำฟ้องในคดีนี้ประกอบกับคดีที่โจทก์ฟ้อง ล. เรียกค่าอุปการะเลี้ยงดู จึงเห็นได้ว่าโจทก์ทราบมานานแล้วว่า ล. มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับหญิงอื่นหลายคนรวมทั้งจำเลยในคดีนี้ สอดคล้องกับที่โจทก์เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ในช่วงปี 2559 ล. เลี้ยงดูผู้หญิงหลายคน และ ร. พยานโจทก์ที่เบิกความว่าได้สมัครทำงานเป็นเชฟให้แก่ ล. เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2560 พยานเป็นผู้ส่งภาพถ่ายแสดงความสัมพันธ์ระหว่าง ล. กับจำเลย รวมทั้งคลิปวิดีโอต่าง ๆ ให้แก่โจทก์ พฤติการณ์ที่โจทก์ทราบดีว่า ล. มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับผู้หญิงหลายคน รวมทั้งจำเลยในคดีนี้ แต่โจทก์กลับมิได้ใช้สิทธิฟ้องเรียกค่าทดแทนในการกระทำดังกล่าวจากจำเลย แต่กลับทำสัญญาแยกกันอยู่กับ ล. สองฉบับดังกล่าวข้างต้นและให้ ล. จ่ายเงินค่าเลี้ยงดูให้แก่โจทก์ ตลอดจนให้ใช้บัตรเครดิตอย่างไม่จำกัดวงเงิน ต่อมาโจทก์กลับมาฟ้องเรียกค่าทดแทนจากจำเลยในคดีนี้เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2563 เป็นจำนวนเงินสูงถึง 300,000,000 บาท หรือการที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจาก ล. เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2563 จำนวน 78,600,000 บาท อันเป็นระยะเวลาภายหลังจากที่โจทก์ทราบถึงเหตุดังกล่าวและแยกกันอยู่กับ ล. เมื่อปี 2557 เป็นเวลาถึงเกือบ 6 ปี จึงเชื่อว่าเกิดจากโจทก์ที่โกรธแค้นจำเลยและ ล. ที่ ล. ไม่จ่ายเงินค่าเลี้ยงดูให้แก่โจทก์อีกต่อไป รวมทั้งยกเลิกการใช้บัตรเครดิตของโจทก์ หาใช่มาจากจำเลย แสดงตนโดยเปิดเผยเพื่อแสดงว่าตนมีความสัมพันธ์กับ ล. สามีโจทก์ในทำนองชู้สาวตามที่โจทก์ฟ้องในคดีนี้ไม่ ซึ่งสอดคล้องกับที่โจทก์เบิกความตอบทนายโจทก์ถามว่า ในช่วงที่บัตรเครดิตของโจทก์หมดอายุ ได้มีการส่งบัตรเครดิตใหม่ไปให้ที่ที่พักของ ล. สามี จำเลยเห็นจึงบอกให้ ล. ตัดบัตรทิ้ง ทั้ง ป.พ.พ. มาตรา 5 บัญญัติว่า "ในการใช้สิทธิแห่งตนก็ดี ในการชำระหนี้ก็ดี บุคคลทุกคนต้องกระทำโดยสุจริต" การที่โจทก์ใช้สิทธิฟ้องเรียกค่าทดแทนจากจำเลยในคดีนี้ จึงสืบเนื่องมาจากการที่ ล. ระงับการจ่ายเงินค่าเลี้ยงดูและการใช้บัตรเครดิตของโจทก์ตามข้อตกลงเป็นสำคัญ มิได้มีเจตนาที่จะใช้บทบัญญัติตาม ป.พ.พ. มาตรา 1523 วรรคสอง มาเรียกค่าทดแทนจากจำเลยอย่างแท้จริง การฟ้องคดีของโจทก์ดังกล่าวไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายใดให้กระทำได้ อีกทั้งยังเป็นการใช้สิทธิฟ้องจำเลยโดยไม่สุจริต ตาม ป.พ.พ. มาตรา 5 ด้วย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ ศาลฎีกามีสิทธิยกขึ้นในชั้นฎีกาได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) มาตรา 246 และมาตรา 252 ประกอบ พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตา 182/1 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5524/2567
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 285
แม้ขณะเกิดเหตุจำเลยไม่ได้อยู่กินฉันสามีภริยากับ ก. แล้ว และอำนาจปกครองของผู้เสียหายตามกฎหมายเป็นของ ก. ก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่า ขณะเกิดเหตุ ก. พาผู้เสียหายไปฝากให้พักอาศัยอยู่กับจำเลยซึ่งก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายเคยพักอาศัยอยู่กับจําเลยหลายปี โดยจำเลยอุปการะเลี้ยงผู้เสียหายเสมือนเป็นบิดา เช่นนี้ พฤติการณ์ล่วงละเมิดทางเพศที่จำเลยกระทำต่อผู้เสียหายจึงมีลักษณะเป็นการกระทำที่จำเลยมีอำนาจบังคับเหนือผู้เสียหาย ซึ่งก่อนเกิดเหตุเคยอยู่ในความอุปการะของจำเลย และขณะเกิดเหตุ ก. ได้ฝากให้ผู้เสียหายอยู่ในความดูแลของจำเลย ทำให้ผู้เสียหายต้องมีความเคารพยำเกรงและเชื่อฟังจำเลย ผู้เสียหายจึงเป็นผู้อยู่ภายใต้อำนาจด้วยประการอื่นใดของจำเลยตามความหมายของ ป.อ. มาตรา 285 แล้ว ดังนี้ เมื่อจำเลยพยายามกระทำชำเราผู้เสียหายในระหว่างที่ผู้เสียหายอยู่ภายใต้อำนาจด้วยประการอื่นใดของจำเลยแล้ว จำเลยจึงต้องรับโทษหนักขึ้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5437/2567
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 295 วรรคสอง, 331 วรรคสาม
ประกาศขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มิได้ระบุเงื่อนไขการเข้าเสนอราคาให้ชัดแจ้งว่า ผู้เข้าเสนอราคาที่เป็นผู้มีสิทธิขอหักส่วนได้ใช้แทนนั้นต้องเป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิเหนือที่ดินที่ขายตามคำชี้ขาดของศาลดังเช่นที่กำหนดไว้ในระเบียบกระทรวงยุติธรรม ว่าด้วยการบังคับคดีของเจ้าพนักงานบังคับคดี พ.ศ. 2522 ข้อ 79 ทั้งในประกาศขายทอดตลาดมีข้อความระบุไว้ว่า "ที่ดินที่จะขายติดจำนองบริษัทบริหารสินทรัพย์ อ. เจ้าหนี้ตามมาตรา 95" เป็นการแสดงให้เห็นแล้วว่าผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ผู้รับจำนองและเป็นผู้มีสิทธิขอหักส่วนได้ใช้แทนตามประกาศขายทอดตลาดดังกล่าว ที่ผู้ร้องมิได้วางหลักประกันก่อนเข้าเสนอราคาเนื่องจากเห็นว่าตนเป็นผู้มีสิทธิขอหักส่วนได้ใช้แทนจึงชอบแล้ว การที่ผู้คัดค้านที่ 1 ไม่ให้ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้ผู้รับจำนองเข้าสู้ราคาโดยอ้างว่าผู้ร้องมิใช่ผู้สิทธิหักส่วนได้ใช้แทน ย่อมทำให้ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีไม่มีสิทธิเต็มที่ในการเข้าสู้ราคาไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 331 วรรคสาม การขายทอดตลาดของผู้คัดค้านที่ 1 จึงฝ่าฝืนกฎหมาย ศาลย่อมมีอำนาจสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาดได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 295 วรรคสอง ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ. 2542 มาตรา 14
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5357/2567
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 353 (2)
ผู้ร้องซื้ออุปกรณ์ภายในร้านค้าของจำเลยแล้วเข้าดำเนินกิจการร้านค้าแทน เป็นการอาศัยสิทธิของจำเลยที่เป็นผู้เช่าอาคารพิพาทจากโจทก์เข้าไปทำประโยชน์ในอาคารพิพาทแทนจำเลย ผู้ร้องจึงอยู่ในฐานะบริวารของจำเลย
การรถไฟแห่งประเทศไทยฟ้องขับไล่โจทก์จนศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ขับไล่โจทก์ออกจากที่ดินพร้อมส่งมอบที่ดินในสภาพเรียบร้อยคืนแก่การรถไฟแห่งประเทศไทยแล้ว โจทก์เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาในคดีดังกล่าวและมีหน้าที่ต้องส่งมอบที่ดินในสภาพเรียบร้อยคืนแก่การรถไฟแห่งประเทศไทย การที่ผู้ร้องยังไม่ออกไปจากที่ดินทำให้โจทก์ไม่อาจส่งมอบที่ดินในสภาพเรียบร้อยคืนแก่การรถไฟแห่งประเทศไทยได้ ผู้ร้องจึงเป็นภาระของโจทก์ในการปฏิบัติตามคำบังคับ หาใช่อำนาจพิเศษในการครอบครองอาคารพิพาทไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5659/2567
เนื่องจากมีการประกาศใช้ พ.ร.บ.ว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. 2565 โดยตามมาตรา 39 แห่ง พ.ร.บ. ดังกล่าวบัญญัติว่า "เมื่อพ้นกำหนดสามร้อยหกสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ให้เปลี่ยนความผิดอาญาที่มีโทษปรับสถานเดียวตามกฎหมายในบัญชี 1 ท้ายพระราชบัญญัตินี้ เป็นความผิดทางพินัยตามพระราชบัญญัตินี้ และให้ถือว่าอัตราโทษปรับอาญาที่บัญญัติไว้ในกฎหมายดังกล่าว เป็นอัตราค่าปรับเป็นพินัยตามพระราชบัญญัตินี้" และมาตรา 45 บัญญัติว่า "บรรดาความผิดอาญาที่เปลี่ยนเป็นความผิดทางพินัยตามมาตรา 39 มาตรา 40 หรือมาตรา 42 (1)…(3) ถ้าอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล ให้ศาลพิจารณาปรับเป็นพินัยตามพระราชบัญญัตินี้" ดังนั้น เมื่อในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาบทบัญญัติมาตรา 39 แห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยการปรับเป็นพินัยฯ มีผลใช้บังคับ ย่อมมีผลให้ความผิดตาม พ.ร.บ.รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ. 2535 มาตรา 19, 57 ซึ่งเป็นความผิดอาญาที่มีโทษปรับสถานเดียวและเป็นกฎหมายที่มีอยู่ในบัญชี 1 ท้าย พ.ร.บ.ว่าด้วยการปรับเป็นพินัยฯ เปลี่ยนเป็นความผิดทางพินัย และเมื่อความผิดทางพินัยฐานดังกล่าวนี้เป็นการกระทำกรรมเดียวกับความผิดทางอาญาตาม ป.อ. มาตรา 385 ความผิดทางพินัยจึงเป็นอันยุติไปตามบทบัญญัติมาตรา 16 (1) แห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยการปรับเป็นพินัยฯ กรณีต้องลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 385
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5612/2567
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 1 (9), 264 วรรคแรก, 265 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 195 วรรคสอง, 225
คำขอกู้ยืมเงิน/หนังสือกู้ยืมเงิน/หนังสือสัญญาค้ำประกันโครงการช่วยเหลือสมาชิกที่ประสบภาวะความเดือดร้อนด้านการเงินพร้อมด้วยหนังสือยินยอมให้หักเงินปันผล – เฉลี่ยคืนหรือเงินอื่นใดที่พึงจะได้รับจากสหกรณ์ออมทรัพย์ ค. กับคำขอและหนังสือกู้เงินเพื่อเหตุฉุกเฉินเป็นเอกสารสิทธิหรือไม่ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จะมิได้มีการยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง จำเลยที่ 2 ก็หยิบยกขึ้นฎีกาได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 เห็นว่า แม้เอกสารการกู้ยืมเงิน 2 ชุดดังกล่าว จะใช้ถ้อยคำชื่อเอกสารทำนองว่าเป็นคำขอกู้ยืมเงิน และเนื้อหาของเอกสารระบุให้เข้าใจได้ว่าผู้เสียหายที่ 1 จะต้องพิจารณาตามคำขอกู้เสียก่อนว่าจะอนุมัติให้กู้ยืมเงินหรือไม่ อันมีลักษณะเป็นคำเสนอตามที่จำเลยที่ 2 อ้างมาในฎีกาก็ตาม แต่ชื่อเอกสารดังกล่าวก็ระบุด้วยว่าเป็นหนังสือกู้ยืมเงินกับหนังสือกู้เงิน และเนื้อหาในเอกสารก็มีระบุไว้ชัดว่าผู้เสียหายที่ 2 ตกลงผูกพันเป็นผู้กู้และจะชำระต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยให้แก่ผู้เสียหายที่ 1 ในฐานะผู้ให้กู้ ส่อแสดงว่าคู่สัญญาประสงค์ให้ใช้เอกสารฉบับเดียวกันนั้นเป็นทั้งคำขอกู้และสัญญากู้ยืมเงินในคราวเดียวเป็นหลักฐานแห่งการก่อให้เกิดสิทธิและหน้าที่ระหว่างผู้เสียหายที่ 1 และผู้เสียหายที่ 2 โดยสภาพของเอกสารจึงถือได้ว่าเป็นเอกสารสิทธิตามบทนิยามของ ป.อ. มาตรา 1 (9) แล้ว ส่วนในขณะที่จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อปลอมของผู้เสียหายที่ 2 ในคำขอกู้ยืมเงินและหนังสือกู้เงินดังกล่าว ผู้เสียหายที่ 1 ยังไม่ได้อนุมัติให้ผู้เสียหายที่ 2 กู้เงินดังที่จำเลยที่ 2 อ้างในฎีกา ก็หาทำให้เอกสารการกู้ยืมเงิน 2 ชุดดังกล่าว ไม่เป็นเอกสารสิทธิแต่อย่างใด
การกระทำโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนตาม ป.อ. มาตรา 264 วรรคแรก เป็นพฤติการณ์ประกอบการกระทำ ไม่ใช่ผลที่ต้องเกิดจากการกระทำ เพียงแต่น่าจะเกิดความเสียหาย แม้จะไม่เกิดขึ้นก็เป็นความผิดสำเร็จแล้ว และความเสียหายที่น่าจะเกิดนั้นอาจเป็นความเสียหายต่อทรัพย์สิน หรือความเสียหายอื่นใดอันกฎหมายมุ่งประสงค์จะคุ้มครอง หรือสามารถพิจารณาเห็นได้จากความคิดเห็นของวิญญูชนทั่วไปก็ได้ ในคดีนี้ ความถูกต้องแท้จริงของหลักฐานการกู้ยืมเงินซึ่งผู้เสียหายที่ 1 พึงได้รับการคุ้มครองเพื่อที่จะสามารถบังคับตามสัญญาเอาแก่ผู้กู้ได้โดยไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ เกี่ยวกับความสมบูรณ์ของสัญญา แม้ในขณะจำเลยที่ 2 กรอกข้อความและลงลายมือชื่อผู้เสียหายที่ 2 ปลอม ยังไม่มีการนำเอกสารการกู้ยืมเงินไปแสดงต่อผู้เสียหายที่ 1 ก็ดี ผู้เสียหายที่ 2 มีเจตนากู้ยืมเงินจากผู้เสียหายที่ 1 ก็ดี จำเลยที่ 2 ไม่ได้รับผลประโยชน์จากการกระทำดังกล่าวก็ดี แต่พฤติการณ์การกระทำของจำเลยที่ 2 น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหายที่ 1 ครบองค์ประกอบความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6065/2567
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 391
ตามสัญญาเช่าซื้อ ข้อ 3 วรรคสองระบุว่า ในกรณีที่รถสูญหาย เสียหาย หรือถูกทำลายจนไม่สามารถซ่อมแซมให้ดีดังเดิมได้ ถูกยึด ถูกอายัด หรือถูกริบ ให้ถือว่าสัญญานี้สิ้นสุดลงโดยหากไม่เป็นความผิดของผู้เช่า ผู้เช่าต้องรับผิดชอบค่าเสียหายหรือเบี้ยปรับหรือค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการทวงถาม การติดตามรถ ค่าทนายความหรือค่าอื่นใด เพียงเท่าที่เจ้าของได้ใช้จ่ายไปจริงตามความจำเป็นโดยประหยัดและมีเหตุผลอันสมควร แต่หากเป็นความผิดของผู้เช่า ผู้เช่าจะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเท่ากับจำนวนหนี้คงค้างชำระตามสัญญานี้ ส่วนข้อ 4 ระบุว่าหากรถถูกใช้เป็นพาหนะในการกระทำความผิด หรือใช้รถในลักษณะที่ผิดกฎหมาย ระเบียบ คำสั่งหรือข้อบังคับใด ๆ หรือใช้รถโดยประการอื่นใดเป็นเหตุให้รถถูกยึด อายัด ริบหรือตกเป็นของรัฐหรือรถถูกนำออกหรือพยายามนำออกราชอาณาจักร… หรือตกไปอยู่ในความครอบครองของบุคคลภายนอก ให้ถือว่าสัญญานี้สิ้นสุดลงทันทีและผู้เช่าจะต้องชดใช้ค่าเสียหายตามที่กำหนดไว้ในสัญญาข้อ 3 วรรคสอง เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่ารถยนต์เช่าซื้อถูกเจ้าพนักงานของรัฐยึดไปในการดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 แต่ต่อมาศาลฎีกามีคำพิพากษายกฟ้อง กรณีจึงมิใช่การที่จำเลยนำรถยนต์ที่เช่าซื้อไปใช้เป็นพาหนะในการกระทำความผิด หรือใช้ในลักษณะที่ผิดกฎหมายหรือใช้โดยประการอื่นใดจนเป็นเหตุให้รถยนต์ที่เช่าซื้อถูกยึดตามสัญญาเช่าซื้อ ข้อ 4 แต่เป็นกรณีที่รถยนต์ที่เช่าซื้อถูกยึดโดยมิได้เป็นความผิดของจำเลยตามสัญญาเช่าซื้อข้อ 3 วรรคสอง สัญญาเช่าซื้อจึงสิ้นสุดลงตามสัญญาเช่าซื้อข้อดังกล่าว จำเลยจึงต้องรับผิดเพียงค่าเสียหายหรือเบี้ยปรับหรือค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการทวงถาม การติดตามรถ ค่าทนายหรือค่าอื่นใด เพียงเท่าที่เจ้าของได้ใช้จ่ายไปจริงตามความจำเป็นโดยประหยัดและมีเหตุผลอันสมควรเท่านั้น แต่ค่าขาดราคาที่โจทก์ขอมาหาใช่ค่าเสียหายหรือเบี้ยปรับหรือค่าใช้จ่ายดังกล่าวไม่ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระค่าขาดราคาให้แก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5793/2567
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 83, 341 พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ม. 3, 14 พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2560 ม. 8, 14 วรรคสอง
แม้ฟ้องโจทก์บรรยายครบองค์ประกอบความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (1) ซึ่งถูกยกเลิกไปแล้ว อันเป็นบทหนักที่บัญญัติให้ผู้กระทำความผิดต้องรับโทษสูงขึ้น และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 มาตรา 8 ที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 14 วรรคหนึ่ง (1) ยังคงบัญญัติว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดอยู่ โดยมาตรา 14 (1) และมาตรา 14 วรรคหนึ่ง (1) มีระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อันเกินอำนาจศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลแขวงที่จะพิจารณาพิพากษาได้ก็ตาม แต่การที่โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 ซึ่งถูกยกเลิกไปแล้ว และระบุขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 มาตรา 8 และมาตรา 14 วรรคสอง ซึ่งเป็นบทเบามีระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยมิได้มีคำขอให้ลงโทษตามมาตรา 14 วรรคหนึ่ง (1) ที่แก้ไขใหม่ ซึ่งเป็นบทหนัก ย่อมแสดงให้เห็นว่า โจทก์ประสงค์ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ในข้อหาฉ้อโกง และความผิดต่อ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 วรรคสอง ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 มาตรา 8 เท่านั้น ไม่อาจถือว่าโจทก์มีคำขอท้ายฟ้องให้ลงโทษบทหนักตามบทบัญญัติดังกล่าวด้วย เมื่อความผิดตาม ป.อ. มาตรา 341 และความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 วรรคสอง ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 มาตรา 8 มีระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลชั้นต้นที่เป็นศาลแขวง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5660/2567
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 193/33, 193/34 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 177 วรรคสอง, 225 วรรคหนึ่ง
คำให้การว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความนั้น ป.วิ.พ. มาตรา 177 มิได้บังคับว่าต้องระบุอ้างมาตราในกฎหมายด้วย แม้จำเลยทั้งสองระบุเลขมาตรา 193/33 (3) แต่เป็นกรณีตามมาตรา 193/33 (5) ก็เป็นเพียงการอ้างอนุมาตราผิดซึ่งเป็นข้อผิดพลาดเล็กน้อย ไม่ทำให้ข้อต่อสู้ของจำเลยทั้งสองในประเด็นข้อนี้เปลี่ยนแปลงไปคดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่
จำเลยทั้งสองซื้อกรวดและทรายจากโจทก์เพื่อใช้ดำเนินการก่อสร้างอาคารพาณิชย์ขายอันเป็นการที่ได้ทำเพื่อกิจการของฝ่ายลูกหนี้นั้นเอง จึงมีอายุความ 5 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/33 (5)
จำเลยทั้งสองมิได้ยกอายุความส่วนหนี้ค่าว่าจ้างโจทก์ถมทรายขึ้นต่อสู้มาในคำให้การ จึงไม่มีประเด็นเรื่องอายุความในส่วนค่าว่าจ้างถมทราย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ซึ่งรวมถึงค่าว่าจ้างถมทรายด้วย จึงไม่ชอบ
ที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่า จำเลยทั้งสองมิได้ว่าจ้างโจทก์ให้ถมทรายและมิได้ซื้อกรวดและทรายจากโจทก์ แต่ได้ว่าจ้างและซื้อกรวดและทรายจากห้างหุ้นส่วนจำกัด ล. ซึ่งเป็นนิติบุคคล โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหาย และฟ้องโจทก์เคลือบคลุมนั้น จำเลยทั้งสองไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้ และไม่ใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง