คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2531
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4312/2531
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 177 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 39 (4), 158 (5)
คดีก่อนศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์มิได้บรรยายว่าคำเบิกความเท็จของจำเลยเป็นข้อสำคัญในคดีอย่างไร และประเด็นสำคัญแห่งคดีมีว่าอย่างไรจึงเป็นคำฟ้องที่ไม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยถึงพยานโจทก์ชั้นไต่สวนมูลฟ้อง พิพากษายกฟ้อง ดังนี้ศาลยังไม่ได้วินิจฉัยถึงการกระทำของจำเลยตามข้อกล่าวหาของโจทก์จึงถือไม่ได้ว่าเป็นคำพิพากษาที่ได้วินิจฉัยในความผิดซึ่งได้ฟ้องโจทก์ฟ้องใหม่ได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4310/2531
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 237 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 87, 88, 104, 223, 229
ระหว่างระยะเวลาที่คู่ความอาจอุทธรณ์คดีแพ่งได้ โจทก์กับจำเลยตกลงกันในการพิจารณาคดีอาญาที่โจทก์ฟ้องจำเลยข้อหาโกงเจ้าหนี้ และเบิกความเท็จว่าโจทก์ยอมถอนฟ้องคดีดังกล่าวแลกกับการที่จำเลยงดเว้นการใช้สิทธิอุทธรณ์คดีแพ่ง จำเลยยืนยันรับข้อตกลงดังกล่าว เมื่อโจทก์ถอนฟ้องคดีอาญาตามข้อตกลงแล้ว ก็ถือได้ว่าจำเลยสละสิทธิอุทธรณ์คดีนี้ไปแล้วตามข้อตกลงดังกล่าว จำเลยจะกลับมาใช้สิทธิอุทธรณ์คดีแพ่งไม่ได้ ศาลฎีการับฟังสำเนารายงานกระบวนพิจารณาของศาลในอีกคดีหนึ่งซึ่งเพิ่งเกิดขึ้นหลังจากศาลชั้นต้นพิพากษาคดีนี้ได้ เพราะโจทก์ย่อมไม่อาจนำสืบถึงรายงานกระบวนพิจารณาดังกล่าวในศาลชั้นต้นได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4307/2531
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1349 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 148, 183
คดีเดิมโจทก์ฟ้องว่าทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอมและเป็นทางจำเป็น ในชั้นพิจารณาโจทก์จำเลยตกลงให้ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทเพียงข้อเดียวว่า ที่ดินตกอยู่ในภาระจำยอมหรือไม่และศาลชั้นต้นได้พิพากษายกฟ้องโดยฟังว่าทางพิพาทไม่เป็นทางภาระจำยอมดังนี้ ถือได้ว่าประเด็นเรื่องทางจำเป็นนั้นคู่ความได้สละแล้วจึงไม่เป็นประเด็นอีกต่อไป โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขอให้เปิดทางพิพาทโดยอ้างว่าเป็นทางจำเป็นได้อีก เพราะประเด็นต่างกับคดีเดิมไม่เป็นฟ้องซ้ำ เมื่อทางพิพาทเป็นทางจำเป็น และโจทก์ได้ใช้รถยนต์ผ่านเข้าออกทางพิพาทมาเป็นเวลาหลายปี โจทก์จึงมีสิทธิใช้ทางจำเป็นดังกล่าวกว้าง 2 เมตรเพื่อให้รถยนต์ซึ่งถือได้ว่าเป็นสิ่งจำเป็นในปัจจุบันเข้าออกได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349และสิทธิใช้ทางดังกล่าวเป็นผลโดยอำนาจของกฎหมายไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4302/2531
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 166, 181 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 249
เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกฟ้องเนื่องจากโจทก์ไม่มาศาลตามกำหนดนัดแล้ว โจทก์ได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ และได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นด้วย ต่อมาศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้อง ของ โจทก์แล้วมีคำสั่งให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ดังนี้ ไม่ว่าคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกฟ้องดังกล่าวจะชอบหรือไม่แต่ศาลชั้นต้นก็ได้มีคำสั่งให้ยกคดีของโจทก์ขึ้นพิจารณาใหม่แล้วฎีกาของโจทก์ในเรื่องที่ศาลชั้นต้นยกฟ้องจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4298/2531
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 195
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์ลงโทษในสถานเบาหรือรอการลงโทษโดยอ้างถึงพฤติการณ์ต่าง ๆ ในคดีและความประพฤติของจำเลยข้อเท็จจริงในเอกสารดังกล่าวเป็นเพียงสนับสนุนข้ออ้างตามที่จำเลยอุทธรณ์ โจทก์มิได้แก้อุทธรณ์คัดค้านเอกสารดังกล่าวว่าไม่ถูกต้อง ดังนี้ จึงเป็นดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ที่จะรับฟังหรือไม่รับฟังข้อเท็จจริงในเอกสารดังกล่าวทั้งไม่มีกฎมหายห้ามศาลใช้ดุลพินิจให้เป็นคุณแก่จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4295/2531
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 326, 329 (3)
จำเลยเบิกความเป็นพยานในคดีที่ ซ. กับพวกยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งเลิกบริษัทน.เพื่อสนับสนุนให้เห็นว่าบริษัทน.ประสบภาวะขาดทุนเพราะการบริหารงานของบริษัทหละหลวมไม่เป็นระเบียบ กรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทไม่สุจริต และกรรมการบริหารของบริษัททุจริตทำให้การดำเนินงานของบริษัทไม่มีโอกาสจะฟื้นตัวเป็นการยืนยันว่าโจทก์ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัท น.ไม่ปฏิบัติตามระเบียบของบริษัทโดยสุจริต และกระทำการทุจริตเป็นเหตุให้บริษัทขาดทุน จำเลยเบิกความในคดีดังกล่าวในฐานะพยาน มิใช่คู่ความ จำเลยมิได้เป็นผู้ถือหุ้นหรือกรรมการบริษัทน.อันจะถือได้ว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสีย ทั้งบริษัทน.ก็เป็นบริษัทเอกชน มิใช่ส่วนราชการหรือองค์การสาธารณะ จึงไม่อาจถือได้ว่าจำเลยแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต ติชมด้วยความเป็นธรรม ซึ่งบุคคลหรือสิ่งใดอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329(3)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4284/2531
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 68, 69
ผู้ตายบุกรุกขึ้นไปบนบ้านจำเลยในเวลากลางคืนโดยผู้ตายกอดรัดคอพาพี่สาวจำเลยขึ้นไปเป็นตัวประกัน แล้วผู้ตายเตะทำลายทรัพย์สินต่าง ๆ บนบ้าน จำเลยกับพวกจึงวิ่งหลบหนีเข้าไปอยู่ในห้องนอนและปิดประตูไว้ ผู้ตายใช้เท้าถีบประตูห้องและร้องบอกให้ทุกคนออกมามิฉะนั้นจะฆ่าให้หมด ผู้ตายถีบประตูหลายครั้งจนประตูเปิดออกและจะเข้าไปทำร้ายจำเลย จำเลยจึงยิงผู้ตายล้มหงายลงกลางบ้านพฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าเป็นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงอันจำเลยจำต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตน อย่างไรก็ตามเมื่อผู้ตายไม่มีอาวุธและได้ความว่าผู้ตายมีอาการมึนเมาสุรามาก การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถึง 2 นัด จึงเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 69
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4280/2531
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 1 (5), 340
ในการปล้นทรัพย์คนร้ายใช้กระบอกไฟฉายเดินทางขนาด 3 ก้อนที่มีติดตัวไปตีทำร้ายภรรยาผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายเป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธติดตัวไปด้วยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4273/2531
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 264
โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีล้มละลาย ระหว่างพิจารณาศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยชั่วคราว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สั่งอายัดเงินบำเหน็จของจำเลยไว้ ต่อมาศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์อุทธรณ์ ในวันที่ยื่นอุทธรณ์โจทก์ขอคุ้มครองประโยชน์ระหว่างพิจารณาโดยขอให้ศาลมีคำสั่งงดปล่อยการอายัดเงินบำเหน็จหรือให้จำเลยนำเงินดังกล่าวมาวางศาล ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องภายหลังจากจำเลยรับเงินบำเหน็จไปจากศาลแล้ว โจทก์ยื่นคำร้องขอให้จำเลยนำเงินบำเหน็จที่รับไปแล้วมาวางศาลจนกว่าคดีจะถึงที่สุด ดังนี้ เงินบำเหน็จดังกล่าวไม่ใช่ทรัพย์สินหรือเงินพิพาทกันโดยตรงในคดีล้มละลาย ศาลจะสั่งให้จำเลยนำเงินดังกล่าวมาวางต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4272/2531
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 56 พระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ.2478 ม. 14 ทวิ
คดีก่อนนอกจากศาลลงโทษปรับจำเลยแล้ว ยังลงโทษจำคุกจำเลยแต่รอการลงโทษไว้อีกด้วย แม้จำเลยชำระค่าปรับแล้วก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยพ้นโทษแล้วมา กระทำผิดครั้งนี้อีก จึงเพิ่มโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติ การพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 14 ทวิ ไม่ได้