คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2531
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4987/2531
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 119, 702
โจทก์มอบให้ ช. พนักงานของสหกรณ์การเกษตรจำเลยนำที่ดินของโจทก์ไปจดทะเบียนจำนองประกันเงินกู้ของโจทก์ที่จะกู้จากจำเลยแต่ ช. กลับนำที่ดินของโจทก์ไปจดทะเบียนจำนองประกันเงินกู้ของ ล. จึงเป็นการผิดวัตถุประสงค์ของโจทก์ นิติกรรมจำนองที่ดินดังกล่าวจึงเกิดขึ้นเพราะโจทก์สำคัญผิดในสาระสำคัญแห่งนิติกรรมตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 119
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4986/2531
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 650 พระราชบัญญัติดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน พ.ศ.2523 ม. 3
บริษัทโจทก์ประกอบธุรกิจเงินทุนหลักทรัพย์ จึงเป็นสถาบันการเงินตามพระราชบัญญัติดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน พ.ศ. 2523 มาตรา 3 มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยในอัตราสูงสุดเกินกว่าร้อยละ 15 ต่อไปได้ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวมาตรา 4 สัญญากู้ที่จำเลยทำกับโจทก์ไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้แต่ไประบุไว้ในบันทึกข้อตกลงเพิ่มเติมต่อท้ายสัญญากู้ให้โจทก์คิดดอกเบี้ยจากจำเลยได้ร้อยละ 20 ต่อปี ซึ่งอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดไว้นี้อาจเปลี่ยนแปลงได้แต่ต้องไม่สูงกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดเมื่อโจทก์ไม่นำสืบถึงการเปลี่ยนแปลงดอกเบี้ยดังกล่าว โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยเพียงร้อยละ 20 ตามสัญญากู้เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4984/2531
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 94
ช.ผู้จัดการธนาคารเบิกความว่าจำเลยได้พาโจทก์ไปพบช.เพื่อเจรจาขอกู้เงินจากธนาคารจำนวนสี่ล้านบาทเพื่อไปทำธุรกิจของโจทก์ โดยจะนำที่ดินของโจทก์มาจำนองเป็นหลักประกัน แต่เนื่องจากโจทก์ไม่ได้เป็นลูกค้าของธนาคาร ช. จึงแนะนำให้โจทก์กู้ในนามของจำเลยซึ่งมีบัญชีเงินฝากอยู่กับธนาคาร โจทก์จำเลยยินยอมตกลงตามที่ ช.แนะนำคำเบิกความของช.ดังกล่าวเป็นกรณีที่กล่าวในทางการซึ่งตนปฏิบัติหน้าที่ความรับผิดชอบมิใช่เป็นการนำสืบพยานบุคคลเพื่อเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสาร เพราะเป็นกรณีนำสืบถึงข้อเท็จจริงอันเป็นที่มาของนิติกรรมที่โจทก์และจำเลยทำกับธนาคาร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4955/2531
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 80, 339
จำเลยล็อกคอ ส. ในร้านอาหาร แล้วใช้มีดแทงผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าของร้านอาหารที่จะเข้าไปช่วย ส. จนได้รับอันตรายแก่กายและต้องถอยห่างออกไป หลังจากนั้นจำเลยใช้มีดจี้ที่คอ ส.พร้อมกับตะโกนต่อหน้าคนในร้านว่าที่ทำไปเพื่อต้องการเงิน500 บาท แม้จำเลยจะมิได้เจาะจงว่าต้องการเงินจากผู้เสียหายแต่ตามพฤติการณ์เห็นได้ว่าต้องการให้ผู้เสียหายในฐานะเจ้าของร้านยื่นเงินให้ในทันใดนั้น เมื่อจำเลยถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมเสียก่อนที่จะได้เงินจากผู้เสียหายการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานพยายามชิงทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4947/2531
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 84, 86, 106, 295, 391 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 192
การที่จำเลยเพียงแต่ร้องบอกว่า "เอามันให้ตายเลย"แล้วพวกของจำเลยได้ทำร้ายร่างกายผู้เสียหายนั้น เป็นการที่จำเลยก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 84แต่เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกับพวกเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยกัน ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาจึงแตกต่างกับคำฟ้องในสาระสำคัญอย่างมากตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคสอง จะลงโทษจำเลยฐานเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดไม่ได้ แต่การที่จำเลยร้องบอกดังกล่าวถือได้ว่าจำเลยเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 86 ศาลมีอำนาจลงโทษฐานเป็นผู้สนับสนุนได้ ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บฟกช้ำที่ใบหน้าด้านซ้ายเพียงแห่งเดียวแพทย์ลงความเห็นว่ารักษาประมาณ 7 วัน ยังถือไม่ได้ว่าผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295ผู้กระทำความผิดคงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 391 จำเลยเป็นผู้สนับสนุนความผิดดังกล่าวอันเป็นความผิดลหุโทษ จึงไม่ต้องรับโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 106
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4946/2531
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 59, 288, 59, 297, 80, 288, 297
จำเลยเป็นพี่ชายผู้เสียหาย คนทั้งสองทำงานอยู่ด้วยกันกับบิดาก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายกับจำเลยทะเลาะโต้เถียงด่าว่ากันอันเป็นเรื่องที่ไม่ร้ายแรงถึงกับจะต้องเอาชีวิตกัน การที่จำเลยได้ใช้เหล็กขูดชาฟท์ยาวประมาณ 4 นิ้ว แทงผู้เสียหายที่ชายโครงขวา 1 ครั้งแล้วหลบหนีไปโดยมิได้แทงซ้ำอีก ผู้เสียหายมีบาดแผลทะลุกะบังลมและตับต้องรักษาโดยการผ่าตัดและรักษาตัวต่ออีก 9 วัน จึงออกจากโรงพยาบาลบาดแผลต้องรักษาเป็นเวลา 4-6 อาทิตย์จึงจะหาย พฤติการณ์ดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย คงมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4767/2531
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 55 พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 ม. 8, 49 พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 ม. 121, 124 ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ม. ,
ลูกจ้างเป็นโจทก์ฟ้องนายจ้างเป็นจำเลยกล่าวหาว่าเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม ขอให้รับกลับเข้าทำงานตามสภาพการจ้างเดิมต่อไป หากไม่สามารถปฏิบัติได้ก็ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย เป็นการฟ้องร้องตามนัยแห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 ซึ่งเป็นคนละกรณีกับการกระทำอันไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518มาตรา 121 คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวจึงหาใช่เป็นการกล่าวหาว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์อันเป็นการกระทำโดยไม่เป็นธรรมไม่ ทั้งไม่มีบทกฎหมายใดกำหนดให้ลูกจ้างต้องร้องเรียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หรือปฏิบัติตามขั้นตอนและวิธีการอย่างใดก่อนที่จะดำเนินการในศาลแรงงาน โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง โจทก์เป็นลูกจ้างชั่วคราวที่ได้ปฏิบัติงานให้จำเลยผู้เป็นนายจ้างครบหนึ่งร้อยยี่สิบวันแล้วมีสิทธิเช่นเดียวกับลูกจ้างประจำตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 75โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าจ้างเท่ากับค่าจ้างในวันทำงานสำหรับวันหยุดตามประเพณีปีละ 13 วัน เช่นเดียวกับลูกจ้างประจำนับแต่วันทำงานที่เกินหนึ่งร้อยยี่สิบวันเป็นต้นไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4939/2531
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 33 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 216 พระราชบัญญัติสุรา พ.ศ.2493 ม. 14, 83 ทวิ
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์ไม่ริบรถยนต์ของกลางที่ใช้ขนสุราโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาให้ริบศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นไม่ริบรถยนต์ของกลางตามประสงค์ของจำเลยซึ่งเท่ากับจำเลยเป็นฝ่ายชนะคดีในชั้นอุทธรณ์แล้วแม้จำเลยจะไม่เห็นพ้องด้วยกับเหตุผลในคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์แต่ข้อวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ดังกล่าวก็มิได้กระทบกระเทือนต่อสิทธิหรือหน้าที่ของจำเลยประการใดจำเลยจึงไม่มีอำนาจที่จะฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 216
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4920/2531
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 52 (1), 53
ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(2) ต้องระวางโทษประหารชีวิต เมื่อเป็นการพยายามกระทำความผิดซึ่งต้องระวางโทษสองในสามส่วน เท่ากับลดมาตราส่วนโทษลงหนึ่งในสาม จึงลดเป็นโทษจำคุกตลอดชีวิตตามมาตรา 52(2) มีเหตุบรรเทาโทษตามมาตรา 78 ลดโทษที่จะลงอีกหนึ่งในสาม ต้องเปลี่ยนโทษจำคุก 50 ปีตามมาตรา 53 คำนวณแล้วคงจำคุก 33 ปี 4 เดือน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4824/2531
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 298, 1359, 1599, 1629
โจทก์เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของตาย มีฐานะทายาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629 โจทก์มีอำนาจฟ้องเรียกค่าจ้างค้างจ่ายซึ่งเป็นมรดกของผู้ตายได้โดยไม่จำต้องให้ศาลมีคำสั่งตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกเสียก่อน ค่าจ้างค้างจ่ายของผู้ตายเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาท และทายาททุกคนเป็นเจ้าของรวมในกองมรดกที่ยังมิได้แบ่ง ทายาทแต่ละคนจึงอาจใช้สิทธิอันเกิดแต่กรรมสิทธิ์รวมครอบไปถึงกองมรดกทั้งหมดได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 298 โจทก์แต่ผู้เดียวมีอำนาจฟ้องเรียกค่าจ้างค้างจ่ายของเจ้ามรดก