คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2531
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5304/2531
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 56 พระราชบัญญัติป่าไม้ ม. 48, 73
ไม้สักเป็นไม้หวงห้ามที่กฎหมายมุ่งคุ้มครองสงวนรักษาเป็นพิเศษ พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 48 และ 73บัญญัติลงโทษผู้ที่มีไม้สักแปรรูปไว้ในครอบครองเสมอโดยไม่จำกัดว่าจะมีเป็นจำนวนเท่าใด แตกต่างจากการมีไม้แปรรูปชนิดอื่นไว้ในครอบครอง ซึ่งจะต้องมีจำนวนเกิน 0.2 ลูกบาศก์เมตรจึงจะเป็นความผิด เมื่อจำเลยมีไม้สักแปรรูปจำนวนถึง 113 แผ่นปริมาตร 3.641 ลูกบาศก์เมตร นับเป็นไม้จำนวนมาก เป็นพฤติการณ์ที่เป็นภัยต่อทรัพยากรของชาติ แม้ตามรายงานการสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติจะปรากฎว่าไม้ของกลางเป็นของวัด ก็ยังไม่ใช่เหตุอันควรปรานีที่จะรอการลงโทษจำคุกให้จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5286/2531
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 148
คดีก่อนจำเลยฟ้องขับไล่ ย.กับบริวารออกจากที่พิพาทศาลพิพากษาให้จำเลยชนะคดีแล้ว จำเลยขอให้ศาลบังคับคดีแก่โจทก์อ้างว่าเป็นบริวารของย.และปลูกบ้านในที่พิพาท โจทก์ต่อสู้ว่าโจทก์ปลูกบ้านอยู่ในที่ชายทะเลนอกที่พิพาท โจทก์จำเลยย่อมอยู่ในฐานะเป็นคู่ความ ศาลไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้โจทก์ขนย้ายออกไปจากที่พิพาท คดีถึงที่สุด โจทก์ฟ้องตั้งรูปคดีเช่นเดิมว่าที่ดินที่ปลูกสร้างบ้านเป็นที่ชายทะเลอยู่นอกเขตโฉนดของจำเลย ขอให้เพิกถอนคำพิพากษาตลอดจนกระบวนพิจารณาในชั้นบังคับคดีของศาลในคดีก่อนเห็นได้ว่าคดีก่อนและคดีนี้โจทก์จำเลยเป็นคู่ความเดียวกันและมีประเด็นที่จะต้องพิจารณาเกี่ยวกับเรื่องกรรมสิทธิ์ที่พิพาทเช่นเดียวกันจึงเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 และกรณีไม่ต้องด้วยมาตรา 148(1) ซึ่งต้องเป็นกระบวนพิจารณาชั้นบังคับคดีที่มิได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3698/2531
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 60, 61, 62, 183 ประมวลรัษฎากร ม. 118 อากรแสตมป์
ทนายโจทก์เบิกความยืนยันว่า ว.กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัทโจทก์ได้ลงชื่อในใบแต่งทนายความตั้งแต่งทนายโจทก์และ ส.ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของโจทก์และได้ติดต่อการงานกับ ว.ยืนยันลายมือชื่อของว. เช่นนี้รับฟังได้ว่าว.ได้ลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของโจทก์ตั้งแต่งทนายความโดยชอบโดยโจทก์ไม่จำต้องนำว.มาเบิกความยืนยันในเรื่องนี้อีกทนายความผู้ได้รับแต่งย่อมมีอำนาจเรียงคำฟ้องและลงชื่อในคำฟ้องแทนโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 62เมื่อโจทก์ได้ยื่นใบแต่งทนายความต่อศาลเพื่อรวมไว้ในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 61 แล้ว โจทก์ก็ไม่จำต้องระบุอ้างใบแต่งทนายความในบัญชีระบุพยานอีก ศาลชั้นต้นชี้สองสถานโดยไม่ได้กำหนดข้อต่อสู้ของจำเลยเรื่องอำนาจการบอกกล่าวบังคับจำนองไว้เป็นประเด็นข้อพิพาท จำเลยมิได้โต้แย้งไว้ ถือได้ว่าจำเลยได้สละประเด็นข้อนี้แล้ว จึงไม่ใช่ข้อกฎหมายที่ได้ว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและมิใช่ปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลอุทธรณ์ย่อมไม่วินิจฉัยประเด็นข้อนี้ได้ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน จำเลยให้การรับว่าเป็นหนี้โจทก์ตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่โจทก์ฟ้องจริงแต่ได้ชำระหนี้แก่โจทก์แล้วเช่นนี้ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์ดังที่ปรากฏในตั๋วสัญญาใช้เงิน ฉะนั้นเอกสารซึ่งเป็นตั๋วสัญญาใช้เงินจึงไม่จำเป็นแก่คดีที่จะต้องอ้างมาเป็นพยานหลักฐานอีก ตั๋วสัญญาใช้เงินตามฟ้องจะปิดอากรแสตมป์ครบถ้วนหรือไม่จึงไม่มีผลเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงที่ฟังได้เป็นยุติแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5285/2531
พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ.2474 ม. 16, 22
โจทก์ได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้า LIGHTMAN(ไลท์แมน)ของโจทก์ไว้ 4 แบบ แต่ละแบบ ขนาดและลักษณะของตัวอักษรต่างกันตัวอักษรคำว่า LIGHT และ MAN นั้นแยกกัน เว้นแต่แบบที่ 3เท่านั้นที่ตัวอักษรอยู่ติดกันและมีรูปศีรษะคนสวมหมวกอยู่ด้านหลัง ส่วนแบบที่ 2 มีรูปศีรษะคนขนาดเล็กสวมหมวกอยู่ระหว่างตัวอักษร LIGHT และ MAN แบบที่ 4 ซึ่งใช้กับกางเกงยีนสลากกระเป๋าหลังกางเกง มีคำว่า LIGHTMAN อยู่ด้านบนคำว่าFORWORKANDPLAY และมีรูปศีรษะคนสวมหมวกอยู่ด้านล่างด้วยส่วนเครื่องหมายการค้าคำว่า LIONMAN(อ่านว่า ไลออนแมน)ที่จำเลยยื่นคำขอจดทะเบียนนั้น ตัวอักษรอยู่ใต้ภาพศีรษะคนและหัวสิงโตซึ่งอยู่ติดกันโดยศีรษะคนอยู่ด้านขวาส่วนหัวสิงโตอยู่ด้านซ้าย ภาพศีรษะคนและหัวสิงโตนั้นมีขนิดใหญ่กว่าตัวอักษรประมาณ 4-6 เท่า ส่วนภาพศีรษะคนสวมหมวกในเครื่องหมายการค้าของโจทก์ตามแบบที่ 2 นั้นมีขนาดเล็กเท่าตัวอักษร และตามแบบที่ 3กับแบบที่ 4 มีขนาดเล็กกว่าตัวอักษรมาก เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกันแล้ว เครื่องหมายการค้าของโจทก์เน้นที่ตัวอักษรคำว่าไลท์แมน ส่วนเครื่องหมายการค้าของจำเลยนั้นให้ความสำคัญที่ตัวอักษรไลออนแมน เท่าเทียมกับภาพประกอบรูปศีรษะคนที่ติดกับหัวสิงโต โดยมีเจตนาให้ภาพดังกล่าวเป็นคำอธิบายความหมายของตัวอักษร คือหมายความว่ามนุษย์ สิงโต ส่วนภาพในเครื่องหมายการค้าของโจทก์ซึ่งมีภาพศีรษะของคนขนาดเล็กสวมหมวกนั้น มิได้อธิบายความหมายของคำว่า ไลท์แมน แต่ประการใด สำหรับตัวอักษรคำว่า แมน ที่เหมือนกันนั้น ก็เป็นคำสามัญ ไม่ใช่คำเฉพาะ และมีผู้นำไปใช้กับสินค้าหลายประเภท ส่วนคำว่า ไลท์ กับคำว่าไลออนนั้นมีความหมายแตกต่างกันมากทั้งคำว่าไลท์ ก็อ่านออกเสียงพยางค์เดียว ส่วนคำว่า ไลออน อ่านออกเสียงสองพยางค์เมื่อเปรียบเทียบเครื่องหมายการค้าที่ปรากฎที่เสื้ออันเป็นสินค้าของโจทก์ กับที่เสื้ออันเป็นสินค้าของจำเลยแล้วเห็นได้ชัดว่าลักษณะตัวอักษร สี แบบ และขนาดแตกต่างกันมากเครื่องหมายการค้าของจำเลยไม่เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์จนกล่าวได้ว่าเป็นการลวงสาธารณชนให้สับสนหลงผิดว่าสินค้าของจำเลยคือสินค้าของโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5284/2531
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 379, 391 วรรคสาม, 572
ข้อตกลงในสัญญาเช่าซื้อที่ว่า ถ้าเจ้าของขายทรัพย์สินที่เช่าซื้อไปแล้ว ยังไม่คุ้มราคาค่าเช่าซื้อที่จะต้องชำระทั้งหมดตามสัญญาเช่าซื้อกับค่าเสียหายอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นผู้เช่าซื้อจะต้องชดใช้ให้เจ้าของจนครบถ้วนตามสัญญานั้นเป็นวิธีการกำหนดจำนวนค่าเสียหาย มิใช่เป็นข้อตกลงที่เป็นข้อกำหนดค่าตอบแทนการใช้ทรัพย์ล่วงหน้าในกรณีเลิกสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคสาม แต่มีลักษณะเป็นการกำหนดเบี้ยปรับกันไว้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5283/2531
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 680
สัญญาค้ำประกันต้องการเพียงหลักฐานเป็นหนังสือที่ผู้ค้ำประกันลงชื่อฝ่ายเดียวก็ใช้ฟ้องร้องบังคับคดีได้แล้วเจ้าหนี้หาจำต้องลงลายมือชื่อในสัญญาค้ำประกันด้วยไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5282/2531
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 183, 235, 247
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ แต่โจทก์ฟ้องคดีเกินกว่า 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง จึงพิพากษายกฟ้องโจทก์ แม้จำเลยจะมิได้ฎีกาเพราะศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชนะคดี แต่จำเลยก็ยื่นคำแก้ฎีกาว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยจึงมีประเด็นที่จะต้องพิจารณาในชั้นฎีกาด้วยว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือของจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5281/2531
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1349, 1350
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 มิได้บัญญัติว่าทางจำเป็นต้องเชื่อมต่อกับทางสาธารณะโดยตรง ความมุ่งหมายสำคัญของมาตราดังกล่าวก็เพื่อให้ที่ดินที่ถูกล้อมอยู่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้เท่านั้นดังนั้นการขอให้เปิดทางจำเป็น ปลายทางดังกล่าวหาจำต้องติดทางสาธารณะเสมอไปไม่ โจทก์ฟ้องขอให้เปิดทางพิพาทโดยอ้างว่าเป็นทางจำเป็นในที่ดินของจำเลยเพื่อผ่านออกไปสู่ที่ดินของ ช. ซึ่งเป็นทางที่ติดกับทางสาธารณะ เมื่อปรากฏว่าโจทก์ไม่สามารถใช้ที่ดินของ ช. ได้เพราะ ช. ไม่ยอมให้ใช้เช่นนี้ ทางพิพาทจึงไม่ใช่ทางจำเป็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5280/2531
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1646, 1706 (3)
บทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1706(3)นั้นหมายความว่า แม้ระบุทรัพย์สินที่ยกให้ไว้ไม่ชัดแจ้งเมื่อยังอาจพอทราบแน่นอนได้ย่อมหาตกเป็นโมฆะไม่ พินัยกรรมฉบับพิพาทไม่ได้ระบุเลขโฉนดที่ดินแปลงที่ยกให้แต่ระบุไว้เป็นสำคัญว่าคือที่ดินแปลงตั้งอยู่หมู่ที่ 1 ตำบลบางตลาด อำเภอปากเกร็ดจังหวัดนนทบุรี และยังระบุไว้อีกว่าเป็นที่ดินแปลงที่ผู้ทำพินัยกรรมมีกรรมสิทธิ์ร่วมอยู่กับนายนามและนายแนมโดยในพินัยกรรมระบุยกที่ดินให้เฉพาะส่วนของผู้ทำพินัยกรรมด้วย แม้ไม่ระบุจำนวนก็ย่อมชัดแจ้งแล้ว พินัยกรรมฉบับพิพาทจึงสมบูรณ์ใช้บังคับได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5219/2531
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 341, 342 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 525
ฟ. พูดยกให้บางส่วนซึ่งที่ดินที่มีโฉนดอันเป็นอสังหาริมทรัพย์ให้โจทก์ แต่ไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ การยกให้ดังกล่าวจึงไม่สมบูรณ์ ที่ดินยังไม่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ตามกฎหมาย เมื่อ ฟ. ตายโดยไม่ได้ทำพินัยกรรมยกที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ ที่ดินย่อมเป็นทรัพย์มรดกของ ฟ.ตกได้แก่จำเลยผู้เป็นทายาทโดยธรรมของฟ.การที่จำเลยรับมรดกที่ดินดังกล่าว แล้วนำไปขายให้แก่บุคคลภายนอกจึงไม่กระทบกระเทือนสิทธิและหน้าที่ของโจทก์ไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง