คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2531

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5278

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5278/2531

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 423, 438

จำเลยพิมพ์โฆษณาข้อความอันฝ่าฝืนความจริงทางหนังสือพิมพ์ซึ่งเมื่ออ่านข้อความทั้งหมดประกอบกันแล้วทำให้เข้าใจได้ว่าโจทก์เป็นผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์และเคยเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย กำลังวางแผนจัดตั้งพรรคการเมืองที่ถูกต้องตามกฎหมายโดยยอมรับหลักลัทธิคอมมิวนิสต์ การไขข่าวเช่นนี้ ในขณะที่ประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขและมีพระราชบัญญัติป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ใช้บังคับอยู่ย่อมทำให้โจทก์ซึ่งเป็นคนไทยคนหนึ่งเป็นที่รังเกียจ ถูกดูหมิ่นเกลียดชังจากประชาชนทั่วไป ทำให้โจทก์เสียหาย จำเลยจึงต้องร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ ข้อความดังกล่าวเป็นการหมิ่นประมาทชื่อเสียงเกียรติคุณของโจทก์และอาจกระทบถึงทางเจริญหรือทางทำมาหาได้ของโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทน แต่จำเลยได้ลงแก้ข่าวให้โจทก์ทางหนังสือพิมพ์หลายฉบับติดต่อกันหลายวันอันเป็นการบรรเทาความเสียหายไปส่วนหนึ่งแล้ว ศาลฎีกาจึงกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์ 50,000 บาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5276

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5276/2531

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 96 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 163 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497 ม. 3

โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2530 ว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาท ครั้นวันที่ 6 มีนาคม 2530 โจทก์นำไปเข้าบัญชีเรียกเก็บเงินธนาคารปฏิเสธไม่จ่ายเงิน โจทก์จึงได้นำเช็คไปเข้าบัญชีใหม่อีกเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2530 และได้รับคำปฏิเสธการจ่ายเงินอีกครั้งหนึ่งเช่นนี้ เมื่อธนาคารปฏิเสธไม่จ่ายเงินครั้งแรก ถือว่าความผิดได้เกิดขึ้นแล้ว แต่โจทก์มิได้ร้องทุกข์หรือดำเนินคดีภายในกำหนด 3 เดือน นับแต่วันดังกล่าว คดีของโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96 การที่โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องเป็นว่าโจทก์รู้ถึงการกระทำผิดและรู้ตัวผู้กระทำผิดในวันที่ 12 มีนาคม 2530 อันเป็นวันที่โจทก์ได้รับคำปฏิเสธการจ่ายเงินในครั้งหลัง จึงหามีผลเปลี่ยนแปลงคดีของโจทก์แต่อย่างใดไม่ ศาลชั้นต้นไม่รับคำขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องของโจทก์และมีคำสั่งให้งดการไต่สวนมูลฟ้อง แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์จึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5274

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5274/2531

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 362

โจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหาบุกรุก จำเลยนำสืบต่อสู้ว่าเจ้าของที่ดินคนเดิมให้บิดาจำเลยปลูกบ้านลงในที่ดิน ก่อนตายบิดาจำเลยยกบ้านให้จำเลยและจำเลยอยู่ในบ้านหลังนี้ไม่เคยย้ายไปที่ใด จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ดังนี้การที่จำเลยคงอยู่ในที่พิพาทจึงเป็นการอยู่โดยเจ้าใจว่ามีสิทธิที่จะอยู่ได้ ไม่มีเจตนากระทำผิดอาญาฐานบุกรุก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5245

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5245/2531

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1465 เดิม, 1466 เดิม

ก่อนที่จำเลยที่ 1 จะแต่งงานกับ ส. บิดามารดาของจำเลยที่ 1ได้ยกบ้านและที่ดินที่ถนนทรัพย์ให้จำเลยที่ 1 หนึ่งแปลง บ้านและที่ดินนั้น จึงเป็นสินเดิมของจำเลยที่ 1 เมื่อแต่งงานกันแล้วได้มาอยู่กินที่บ้านหลังนี้จนมีบุตร 3 คน ก็ขายบ้านและที่ดินที่ถนนทรัพย์นำเงินส่วนหนึ่งไปซื้อที่ดินที่ถนนสาธรเหนือและปลูกบ้านอยู่ ต่อมาได้ขายที่ดินและบ้านที่ถนนสาธรเหนือนำเงินส่วนหนึ่งไปรับซื้อฝากที่ดินแปลงพิพาท และผู้ขายฝากไม่ไถ่คืนจึงตกเป็นของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นการได้มาโดยขายสินเดิมไป และนำเงินที่ขายได้มาซื้อ ที่ดินพิพาทจึงเป็นทรัพย์สินที่ต้องเอามาแทนสินเดิมที่ขายไป แม้ก่อนจะนำเงินมารับซื้อฝากที่พิพาทจำเลยที่ 1 ได้นำเงินที่ได้จากการขายสินเดิมไปซื้อที่ดินที่ถนนสาธรเหนือไว้ชั้นหนึ่งก่อนก็ไม่ทำให้ผลในทางกฎหมายเปลี่ยนแปลงไป เพราะที่ดินแปลงที่ถนนสาธรเหนือก็ถือว่าเป็นสินเดิมของจำเลยที่ 1 นั่นเองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1465 ก่อนทำการแก้ไข แต่อาคารโรงเรียนและตึกแถวจำเลยที่ 1 ออกเงินสร้างขึ้นบนที่ดินพิพาทหลังจากที่ที่ดินดังกล่าวตกเป็นของจำเลยที่ 1 แล้วและไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้ใช้เงินที่ได้จากการขายที่ดินแปลงที่ถนนสาธรเหนือมาทำการก่อสร้าง จึงเป็นสินสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1466 เดิม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5244

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5244/2531

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 138

คู่ความตกลงกันให้จำเลยพิสูจน์เพียงประเด็นเดียวว่า หากตามพยานหลักฐานที่จำเลยส่งอ้างฟังได้ว่าที่ดินตามโฉนดที่พิพาทเป็นที่สวนทั้งแปลงมาแต่ครั้งบรรพบุรุษชื่อ จ. ถือกรรมสิทธิ์แล้วให้จำเลยเป็นฝ่ายชนะคดี ทั้งนี้ โดยขอให้ผู้พิพากษาทั้งศาลรวม 6 นายทำการออกเสียงชี้ขาด ดังนี้ เป็นการมอบให้ผู้พิพากษาทั้งศาลในศาลชั้นต้นเท่านั้นเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาดข้อเท็จจริง เมื่อผู้พิพากษาเสียงข้างมากในศาลชั้นต้นออกเสียงชี้ขาดว่าที่ดินพิพาทเป็นที่สวนมาแต่ครั้งบรรพบุรุษของจำเลย จำเลยจึงเป็นฝ่ายชนะตามคำท้า โจทก์จะอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงใหม่แทนข้อเท็จจริงที่ผู้พิพากษาทั้งศาลในศาลชั้นต้นออกเสียงชี้ขาดมิได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5243

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5243/2531

ประมวลรัษฎากร ม. 3 เตรส, 40, 50, 54

ตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.728/2522 ข้อ 1(1) แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งที่ ท.872/2523 ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น กำหนดให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินให้แก่ผู้รับ หักภาษี ณ ที่จ่ายทุกครั้งที่จ่ายเงินได้พึงประเมินในอัตราร้อยละ 0.75 ของยอดเงินได้พึงประเมินที่จ่ายในแต่ละครั้งเฉพาะผู้จ่ายเงิน และสำหรับการซื้อยางแผ่นหรือยางชนิดอื่น เฉพาะกรณีผู้ซื้อเป็นผู้ส่งออก ฯลฯ คำว่า"ผู้ซื้อเป็นผู้ส่งออก" มีความหมายเพียงว่าเป็นผู้ซื้อที่ได้จดทะเบียนเป็นผู้ส่งออกไว้ต่อกระทรวงพาณิชย์เท่านั้น หาจำต้องเป็นผู้ส่งออกตามความเป็นจริงไม่ และการหักภาษี ณ ที่จ่ายนั้นต้องกระทำขณะจ่ายเงินให้แก่ผู้ขายสินค้า หาใช่กระทำขณะส่งออกไม่เพราะไม่ว่าผู้ซื้อเป็นผู้ส่งออกจะได้ส่งออกสินค้าที่ซื้อมาหรือไม่ก็ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายทุกครั้งอยู่แล้ว เมื่อเจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินภาษีเงินได้ของโจทก์แล้วต่อมาเจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบพบว่าการประเมินภาษีนั้นอ้างกฎหมายไม่ถูกต้อง เจ้าพนักงานประเมินย่อมสั่งยกเลิกการประเมินและทำการประเมินใหม่ได้ ไม่มีกฎหมายห้าม การประเมินครั้งหลังโดยยกเลิกการประเมินครั้งแรกมีผลให้โจทก์เสียภาษีเพียงครั้งเดียวหาใช่ต้องเสียภาษีซ้ำซ้อนไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5239

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5239/2531

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 192 พระราชบัญญัติสุรา พ.ศ.2493 ม. 5, 30, 31, 32

โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยขายสุราแช่ 1 ถุง ที่จำเลยทำขึ้นเองและมีไว้ในครอบครองจำนวน 2 โอ่ง ปริมาตร 220 ลิตร โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นน้ำสุราที่ทำขึ้นโดยฝ่าฝืนกฎหมาย อันเป็นกรณีที่โจทก์มุ่งประสงค์ ขอให้ลงโทษจำเลยฐานเป็นผู้ทำสุราโดยไม่ได้รับอนุญาตและได้ขายสุราที่จำเลยทำขึ้นนั้นด้วย ซึ่งเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติสุรา พ.ศ. 2493 มาตรา 30 และโจทก์ก็ได้ระบุมาในคำขอท้ายฟ้องแล้วโจทก์มิได้ฟ้องและประสงค์ขอให้ลงโทษจำเลยฐานขายสุรารู้ว่าทำขึ้นโดยฝ่าฝืนมาตรา 5 อันเป็นความผิดตามมาตรา 31 โจทก์จึงไม่จำต้องระบุมาตรา 31 มาในคำขอท้ายฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5227

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5227/2531

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 59, 80, 339 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 227

คำกล่าวของจำเลยขณะเมาสุราต่อหน้าคนหลายคนในร้านค้าว่าจะเอารถของผู้เสียหาย มิใช่วิสัยของคนร้ายที่จะบอกให้เจ้าทรัพย์รู้ตัวก่อน ที่จำเลยใช้ขวานงัดช่องไขกุญแจแล้วถีบคันสตาร์ดรถจักรยานยนต์ก็เป็นที่เข้าใจว่าเครื่องยนต์จะไม่ติด และไม่ปรากฎว่าจำเลยต่อสายไฟตรงเพื่อให้เครื่องยนต์ติดแต่อย่างใด จึงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาพยายามชิงทรัพย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5220

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5220/2531

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 33 (1) พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522

จำเลยที่ 3 เตรียมเงินจำนวน 850,000 บาท เพื่อนำมาซื้อยาเสพติดตามที่จำเลยที่ 1 ติดต่อกับผู้ขาย แต่จำเลยที่ 1 สามารถนำยาเสพติดของกลางมามอบให้จำเลยที่ 2 ได้ในปริมาณราคาเพียง600,000 บาทเท่านั้น เงินที่จำเลยที่ 3 เตรียมมาดังกล่าวจึงยังคงเหลืออีก 250,000 บาท ซึ่งเป็นจำนวนเดียวกันกับเงินที่ได้เตรียมมาซื้อยาเสพติดในตอนแรกนั่นเอง จึงถือได้ว่าเป็นทรัพย์ที่มีไว้เพื่อใช้ในการกระทำผิด ศาลมีอำนาจสั่งริบได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5185

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5185/2531

พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 พระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ.2522

จำเลยขับขี่รถยนต์บรรทุกที่มีความสูงเกิน 2.50 เมตร อันเป็นรถที่อยู่ในความควบคุมของกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบกไปในทางที่มีแสงสว่างไม่เพียงพอที่จะมองเห็นคน รถหรือสิ่งกีดขวางในทางได้โดยชัดแจ้งภายในระยะไม่น้อยกว่า 150 เมตร โดยจำเลยไม่เปิดไฟที่โคมไฟแสดงส่วนสูงส่วนกว้างและลักษณะรถแสงเขียวที่ด้านหน้าตอนบนหลังคารถ จำเลยจึงมีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ. 2522 มาตรา 11 ประกอบกฎกระทรวง ฉบับที่ 4 และฉบับที่ 9ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522

« »
ติดต่อเราทาง LINE