คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2531
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 96/2531
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 453, 987 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 183
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยซื้อสินค้าจากโจทก์ไป มิได้ชำระราคาสินค้าเป็นเงินสด แต่ได้นำเช็คของผู้มีชื่อมอบแก่โจทก์ โดยจำเลยสัญญาว่า ถ้าโจทก์รับเงินตามเช็คนั้นไม่ได้ ให้โจทก์นำเช็คไปแลกเงินสดจากจำเลยได้ทันที ครั้นเมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์จึงนำเช็คดังกล่าวไปแลกเงินสดจากจำเลยจำเลยเพิกเฉยไม่จ่ายเงินให้โจทก์ ทั้งจำเลยก็ให้การว่าจำเลยไม่ได้ซื้อสินค้าจากโจทก์ และทางพิจารณาโจทก์จำเลยต่างก็นำสืบโต้เถียงกันในเรื่องซื้อขาย จึงเป็นการพิพาทกันตามสัญญาซื้อขายโดยตรง หาใช่พิพาทกันเรื่องตั๋วเงินไม่ ดังนี้ ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยจะต้องรับผิดใช้เงินให้โจทก์ตามเช็คที่โจทก์นำมาฟ้องหรือไม่นั้น จึงหมายความว่าจำเลยจะต้องรับผิดชำระเงินค่าสินค้าให้โจทก์มีจำนวนเท่ากับจำนวนเงินที่ระบุไว้ในเช็ค ซึ่งจำเลยนำมาชำระค่าสินค้าหรือไม่นั่นเองการที่ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ให้โจทก์ตามมูลหนี้ซื้อขายสินค้า จึงไม่เป็นการนอกฟ้องหรือนอกประเด็น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 92/2531
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 321 วรรคท้าย พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 ม. 22, 118, 119
ผู้ร้องทำสัญญาซื้อเรือยนต์จากจำเลย โดยชำระด้วยเงินสดบางส่วนหนี้ที่เหลือผู้ร้องชำระด้วยเช็คลงวันที่ล่วงหน้าแต่ละเดือน รวม 13 ฉบับ ภายหลังจำเลยได้โอนเช็คดังกล่าวให้แก่บุคคลภายนอก สัญญาระหว่างจำเลยและผู้ร้องเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด ซึ่งจำเลยได้โอนกรรมสิทธิ์เรือยนต์ให้แก่ผู้ร้องแล้ว และผู้ร้องต้องชำระหนี้ค่าเรือยนต์ให้ครบถ้วนในวันเดียวกัน การที่จำเลยและผู้ร้องตกลงกันให้ผู้ร้องชำระหนี้เป็นรายเดือนตามจำนวนเงินในเช็คเป็นเวลา 1 ปี จึงเป็นสัญญาเพิ่มเติมสัญญาซื้อขายเดิม จำเลยมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามสัญญาจำเลยจะคืนเช็คก่อนถึงกำหนด แล้วขอให้ผู้ร้องชำระหนี้ทั้งหมดทันที หรือขอให้ผู้ร้องชำระหนี้ตามจำนวนเงินในเช็คแต่ละฉบับเมื่อเช็คนั้นยังไม่ถึงกำหนดไม่ได้ แม้จะถือว่ามูลหนี้เดิมตามสัญญาซื้อขายยังไม่ระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 วรรคท้ายและต่อมาจำเลยถูกฟ้องเป็นคดีล้มละลายและศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด เมื่อไม่ปรากฏว่าผู้ร้องมีส่วนผิดสัญญา เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็ไม่มีสิทธิเรียกให้ผู้ร้องชำระหนี้ตามสัญญาซื้อขาย ส่วนหนี้ตามเช็คฉบับที่ผู้ร้องนำเงินมาวางศาลแล้วกับเช็คอีก 3ฉบับ ที่ผู้ทรงเช็คซึ่งรับโอนไปจากจำเลยได้นำมาขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นั้น ปรากฏตามอุทธรณ์ของผู้ร้องว่าผู้ร้องยินยอมชำระเงินตามเช็คทั้งสี่ฉบับนี้ให้แก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ถือว่าผู้ร้องสละประโยชน์แห่งเงื่อนเวลานั้นแล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงมีสิทธิเรียกร้องเงินตามเช็คทั้งสี่ฉบับดังกล่าวได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 90/2531
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 61, 289
จำเลยให้พวกมาร้องเรียก พ.ให้ออกมาจากบ้านโดยจำเลยแอบซุ่มยิงอยู่ แม้บังเอิญผู้ตายลุกขึ้นมาเปิดประตูบ้านลงบันไดเพื่อจะไปถ่ายปัสสาวะข้างล่าง แล้วถูกจำเลยใช้อาวุธปืนยิงโดยสำคัญผิดว่าเป็น พ.ก็ตาม การกระทำของจำเลยก็เป็นการฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 48/2531
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 56, 91, 270
จำเลยได้แก้เครื่องชั่งถึง 2 เครื่อง และใช้เครื่องชั่งชั่งสินค้าเอาเปรียบประชาชนทั่ว ๆ ไป ทั้งที่กฎหมายบัญญัติอัตราโทษไว้สูงสำหรับความผิดประเภทนี้จำเลยหาเกรงกลัวไม่ เพื่อให้บังเกิดผลในการปราบปรามและมิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่บุคคลอื่นต่อไป จึงชอบที่จะลงโทษจำคุกโดยไม่รอการลงโทษ.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 89/2531
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 352 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 216, 220
ศาลชั้นต้นยกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเงินที่โจทก์ฝากไว้กับจำเลยย่อมตกเป็นของจำเลย การที่จำเลยโอนเงินที่รับฝากไว้ไปให้บุคคลอื่นจึงเป็นเรื่องที่โจทก์จะเรียกร้องเอาจากจำเลยในทางแพ่ง ไม่เป็นความผิดฐานยักยอกแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ อันเป็นการยกฟ้องโดยอาศัยข้อกฎหมาย ดังนี้ โจทก์จึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงแต่เมื่อฎีกาของโจทก์คงโต้เถียงเฉพาะปัญหาข้อเท็จจริงว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตหรือไม่เท่านั้น มิได้คัดค้านคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ดังกล่าว ฎีกาของโจทก์จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 39/2531
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 145 พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 ม. 52 พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 ม. 31
ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเลิกจ้างผู้คัดค้านเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2529 นับตั้งแต่บัดนั้นผู้ร้องย่อมมีอำนาจที่จะมีคำสั่งเลิกจ้างผู้คัดค้านได้ทันที การอุทธรณ์ไม่เป็นการตัดสิทธิผู้ร้องที่จะปฏิบัติตามคำสั่งศาลแรงงานกลาง.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 84/2531
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 59, 80, 288
จำเลยใช้ขวานซึ่งคม หน้าขวานกว้างประมาณ 2 นิ้วครึ่ง ด้ามยาวประมาณ 1 ฟุต ฟันศีรษะผู้เสียหายโดยแรง เป็นแผลกว้างถึง 5เซนติเมตร ยาวถึง 20 เซนติเมตร กะโหลกศีรษะแตก ต้องใช้เวลา 6 เดือนรอยแตกจึงจะสมาน และบาดแผลดังกล่าวอาจทำให้ถึงตายได้ เช่นนี้ ถือว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 83/2531
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 21 (4), 41
จำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีเพราะเหตุจำเลยเจ็บป่วยไม่สามารถมาศาลได้ถ้าตามพฤติการณ์และการดำเนินคดีของจำเลยรวมทั้งใบรับรองแพทย์ น่าเชื่อว่าจำเลยเจ็บป่วยไม่สามารถมาศาลตามวันนัดได้จริง ศาลก็มีอำนาจให้เลื่อนการพิจารณาคดี โดยไม่ต้องทำการไต่สวนคำร้อง แต่ถ้าตามคำร้องขอเลื่อนคดีของจำเลยไม่มีเหตุสมควร เช่น ใบรับรองแพทย์ไม่ระบุแจ้งชัดว่าจำเลยเจ็บป่วยสมควรให้พักผ่อน และขอเลื่อนคดีบ่อยครั้งโดยอ้างสาเหตุเดิม ศาลก็ชอบที่จะมีคำสั่งยกคำร้องขอเลื่อนคดี โดยไม่จำเป็นต้องทำการไต่สวนคำร้องเช่นกัน.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 81/2531
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 96 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 15
คำเบิกความของพยานที่หูหนวกและเป็นใบ้ให้ถือว่าเป็นคำเบิกความของพยานบุคคล ส่วนวิธีถามหรือตอบนั้นอาจจะกระทำโดยวิธีเขียนหนังสือหรือโดยวิธีอื่นที่สมควรได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 96.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 71/2531
พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 ม. 5 ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ 16 เมษายน พ.ศ.2515 ม. ,
จำเลยสั่งพักงานโจทก์ระหว่างสอบสวน เมื่อสอบสวนเสร็จแล้วได้มีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง จำเลยพิจารณาแล้วเห็นว่ายังไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าโจทก์ทำผิด จึงมีคำสั่งให้รับโจทก์กลับเข้าทำงาน ดังนี้ การที่โจทก์ไม่มีผลงานให้แก่จำเลยในชั่วระยะเวลานั้นมิใช่เป็นความผิดของโจทก์ การยกเลิกคำสั่งเลิกจ้างย่อมต้องถือเสมือนว่าคำสั่งเลิกจ้างไม่เคยมีมาก่อน ความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์จำเลยที่สะดุดหยุดลงจึงต้องคืนเข้าสู่ภาวะเดิมโดยไม่ถือว่าขาดช่วงจำเลยตัดระยะเวลาการทำงานของโจทก์ในช่วงที่ถูกเลิกจ้างออกไม่ชอบด้วยความเป็นธรรมและหามีกฎหมายหรือข้อบังคับหรือระเบียบเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยสนับสนุนหรือให้อำนาจไม่
ประกาศเรื่องเงินโบนัสของจำเลยมีว่า พนักงานที่ถูกพักงานโดยไม่ได้รับเงินเดือน……ฯลฯ ให้ได้รับเงินรางวับประจำปีตามส่วนเฉลี่ยแห่งระยะเวลาการทำงานในปีงบประมาณ เดิมโจทก์ไม่ได้รับเงินเดือนในระหว่างถูกสั่งพักงาน ต่อมาจำเลยได้ยอมรับโจทก์กลับเข้าทำงานโดยจ่ายเงินเดือนให้ร้อยละสิบห้า เมื่อศาลแรงงานกลางได้วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีมลทินมัวหมอง โจทก์มีสิทธิได้รับเงินเดือนเต็มจำนวนในช่วงถูกพักงานดังนี้ กรณีของโจทก์จึงไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ตามประกาศดังกล่าว จะให้โจทก์ได้รับเงินโบนัสแต่เพียงตามส่วนเฉลี่ยแห่งระยะเวลาการทำงานไม่ได้.