คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2531
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5677/2531
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 ม. 49
กรณีที่นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างไม่เป็นธรรม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานฯ พ.ศ. 2522 มาตรา 49 กำหนดขั้นตอนให้ศาลแรงงานสั่งเพียงอย่างหนึ่งอย่างใด คือสั่งให้นายจ้างรับลูกจ้างทำงานต่อไปในอัตราค่าจ้างที่ได้รับในขณะที่เลิกจ้าง หรือกำหนดจำนวนค่าเสียหายให้นายจ้างชดใช้ให้แทน เมื่อศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานต่อไปตามเดิมแล้ว โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างหรือค่าเสียหายในระหว่างที่ถูกเลิกจ้าง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5669/2531
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 212, 218
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 69 จำคุก 2 ปี และริบมีดของกลางศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะบทกฎหมายที่ลงโทษเป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ส่วนโทษจำคุกยังคงเท่ากับที่ศาลชั้นต้นกำหนด เป็นการแก้ไขเล็กน้อย เมื่อศาลอุทธรณ์ลงโทษจำคุกไม่เกินห้าปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ฎีกาขอให้รอการลงโทษเป็นเรื่องโต้แย้งดุลพินิจในการกำหนดโทษของศาลอุทธรณ์ เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 69 ให้จำคุกจำเลยมีกำหนด 2 ปี โจทก์มิได้อุทธรณ์ จำเลยอุทธรณ์ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันจำเลยไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 แม้ศาลอุทธรณ์ฟังว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่น มิใช่เป็นการป้องกันสิทธิของจำเลย ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยหนักกว่าที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้มิได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 212 ศาลอุทธรณ์คงมีอำนาจวางบทลงโทษจำเลยให้ถูกต้องเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5599/2531
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 337
ป. เป็นผู้ใหญ่บ้านที่จำเลยขอให้ช่วยสืบหาคนร้ายที่ลักกระบือของตนเมื่อ ป. นัดผู้เสียหายซึ่งเป็นลูกบ้านให้มาเจรจากับจำเลย ย่อมมีมูลทำให้จำเลยเข้าใจว่าผู้เสียหายเป็นคนร้ายการที่จำเลยเรียกเงินจากผู้เสียหายเป็นค่ากระบือที่ถูกลักเอาไปเพื่อที่จะไปดำเนินคดีแก่ผู้เสียหายโดยมี ป. ผู้ใหญ่บ้านฝ่ายผู้เสียหายเป็นคนกลางช่วยไกล่เกลี่ยให้จนผู้เสียหายยอมให้เงินแก่จำเลยตามที่ ป. พูดไกล่เกลี่ย เป็นการใช้สิทธิของตนโดยสุจริต ไม่เป็นความผิดฐานกรรโชก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5566/2531
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 3 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 218 พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2511
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2511 มาตรา 7 ให้ลงโทษจำคุก 1 เดือน และจำเลยมีความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 ให้ลงโทษจำคุก 5 ปี ให้จำเลยคืนเงินแก่ผู้เสียหาย ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะจำนวนเงินที่ให้ใช้คืนแก่ผู้เสียหาย เป็นการแก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นแต่เพียงเล็กน้อย ทั้งศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละไม่เกิน5 ปี จำเลยจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 แม้พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528จะยกเลิกพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2511แต่ก็มิได้ยกเลิกความผิดฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตซึ่งจำเลยกระทำ ในทางตรงกันข้ามกลับกำหนดโทษสำหรับความผิดดังกล่าวให้สูงขึ้นกว่าเดิมอีก ดังนั้น ศาลจึงชอบที่จะลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2511ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ขณะจำเลยกระทำผิดเพราะเป็นกฎหมายที่เป็นคุณแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5565/2531
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 55, 1 (3), 172 พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2522 ม. 78, 79
พระราชบัญญัติ ญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522มาตรา 78 บัญญัติเหตุอันจะพึงร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ไว้โดยเฉพาะว่าต้องมีการกระทำอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 26,32,34,51 หรือมาตรา 52 เท่านั้นตามคำร้องของผู้ร้องที่อ้างเหตุคัดค้านว่า ผู้คัดค้านที่ 2และผู้คัดค้านที่ 3 ผู้สมัครรับเลือกตั้ง โดยตนเองหรือตัวแทนของตนได้ให้อามิสสินจ้างแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อจูงใจให้ลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่ผู้คัดค้านที่ 2 ที่ 3 นั้น จึงเป็นข้อกล่าวหาว่ามีการกระทำอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 35 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวซึ่งผู้ฝ่าฝืนมีความผิดต้องระวางโทษตามมาตรา 84 มิใช่เหตุที่จะร้องคัดค้านการเลือกตั้งเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ตามมาตรา 78 ส่วนที่อ้างเหตุคัดค้านว่าผู้คัดค้านที่ 3 ได้พิมพ์โฆษณารูปผู้ร้อง ชื่อพรรคซึ่งผู้ร้องสังกัดอยู่และชื่อผู้ร้องในแผ่นพิมพ์โฆษณา แต่บอกหมายเลขประจำตัวของผู้คัดค้านที่ 3 ไว้ ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดคิดว่าผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งตามหมายเลขดังกล่าวซึ่งไม่เป็นความจริงนั้นก็เป็นข้อกล่าวหาว่ามีการกระทำอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 67 ซึ่งผู้ฝ่าฝืนมีความผิดและต้องระวางโทษตามมาตรา 84 มิใช่เหตุที่จะร้องคัดค้านการเลือกตั้งเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ ตามมาตรา 78 จึงเป็นคำร้องที่ไม่ชอบจะรับไว้พิจารณาพระราชบัญญัติ ญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522มาตรา 79 บัญญัติให้นำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลมคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจึงเป็นคำฟ้องตามบทวิเคราะห์ศัพท์ในมาตรา 1(3) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งจะต้องชอบด้วยมาตรา 172 วรรคสอง แต่ผู้ร้องบรรยายมาในคำร้องว่า เจ้าหน้าที่กรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งได้แกล้งทำบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งหล่นหายและขีดฆ่าชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งบางคนซึ่งมีตัวตนออกโดยพลการ มิได้บรรยายให้แจ้งชัดว่ากรรมการผู้ใดได้แกล้งทำบัญชีรายชื่อหล่นหายหรือขีดฆ่าชื่อผู้ใดซึ่งมีสิทธิเลือกตั้งออก พอที่จะให้เข้าใจได้ว่าเจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้งผู้ใดประจำหน่วยเลือกตั้งใดจงใจไม่ปฏิบัติการตามหน้าที่ หรือกระทำการอันใดเพื่อขัดขวางมิให้การเป็นไปตามกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติดังกล่าว มาตรา 52จึงเป็นคำร้องเคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5563/2531
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 274
โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำเลย ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ทรัพย์ที่โจทก์นำยึดไม่ใช่ของจำเลย และโจทก์ยินยอมให้ผู้ค้ำประกันนำที่ดินมาวางค้ำประกันในการถอนการยึดทรัพย์ของจำเลย โดยถ้าผู้ร้องแพ้ ผู้ค้ำประกันยอมชำระหนี้แทนสัญญาค้ำประกันดังกล่าวไม่มีข้อความระบุว่าผู้ค้ำประกันยอมค้ำประกันตลอดไปจนกว่าคดีถึงที่สุด ดังนี้ เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้ผู้ร้องชนะคดี จึงไม่มีหนี้ที่ผู้ค้ำประกันจะต้องชำระตามสัญญาค้ำประกัน สัญญาค้ำประกันย่อมระงับสิ้นไปทันทีศาลชอบที่คืนโฉนดที่ดินให้แก่ผู้ค้ำประกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5562/2531
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 280, 288
ผู้ร้องซื้อที่พิพาทจากจำเลยโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนและขายฝากไว้กับบริษัท ค. ก่อนที่โจทก์จะนำยึด ต่อมาผู้ร้องได้ชำระเงินค่าไถ่ถอนการขายฝากให้แก่ผู้รับซื้อฝากแล้ว แม้ผู้ร้องยังไม่ได้จดทะเบียนไถ่ถอนการขายฝากเนื่องจากโจทก์อายัดที่พิพาทไว้ก็ตาม ก็ต้องถือว่าผู้ร้องมีส่วนได้เสียในที่พิพาท ย่อมร้องขัดทรัพย์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5559/2531
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 572, 821, 822
จำเลยทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์ โจทก์มอบหมายให้บริษัทต. เป็นผู้รับเงินดาวน์ จากจำเลย จัดการให้จำเลยทำคำร้องขอเช่าซื้อรถยนต์ ส่งมอบรถยนต์ให้จำเลย ตลอดจนรับเงินค่าเช่าซื้อจากจำเลย ถือเป็นการยอมให้บริษัทต. เชิดตัวเองออกแสดงเป็นตัวแทนของโจทก์ เมื่อจำเลยชำระค่าเช่าซื้อให้บริษัทต. ครบถ้วนแล้ว แต่บริษัทต.ส่งเงินให้โจทก์ไม่ครบ จำเลยจึงไม่ผิดสัญญาเช่าซื้อ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5555/2531
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 249 พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 ม. 7 (1), 8
ปัญหาที่ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยต่อศาลภาษีอากรกลางก่อนที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยหรือไม่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีฝ่ายใดอุทธรณ์ เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้พระราชบัญญัติ ญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากรพ.ศ. 2528 มาตรา 8 บัญญัติถึงการฟ้องคดีตามมาตรา 7(1) ต่อศาลภาษีอากรว่าจะต้องมีการวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เสียก่อนและบทกฎหมายมาตรานี้หาได้บังคับเฉพาะผู้ถูกประเมินแต่เพียงฝ่ายเดียวไม่ ดังนั้นเมื่อจำเลยได้ใช้สิทธิอุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์แล้ว และคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ยังไม่ได้มีคำวินิจฉัยชี้ขาด โจทก์จึงต้องห้ามมิให้นำคดีมาฟ้องต่อศาลภาษีอากรกลางตามบทกฎหมายดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5554/2531
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1564, 1566 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 143
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยส่งบุตรคืนมาอยู่ในความปกครองของโจทก์จำเลยฟ้องแย้งขอให้บุตรเปลี่ยนไปอยู่ในความปกครองของจำเลย โดยให้โจทก์ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรนับแต่วันฟ้องด้วยศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องและให้เปลี่ยนผู้ปกครองบุตรจากโจทก์เป็นจำเลย และให้โจทก์ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรตามฟ้องแย้งแต่ไม่ได้ระบุว่าให้ชำระตั้งแต่เมื่อใด ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนและไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ฎีกาในปัญหานี้ ดังนี้ ถือเป็นข้อผิดพลาดเล็กน้อย ศาลฎีกาแก้ไขเพิ่มเติมให้ครบถ้วน โดยให้โจทก์ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นพิพากษา