คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2531

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5284

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5284/2531

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 379, 391 วรรคสาม, 572

ข้อตกลงในสัญญาเช่าซื้อที่ว่า ถ้าเจ้าของขายทรัพย์สินที่เช่าซื้อไปแล้ว ยังไม่คุ้มราคาค่าเช่าซื้อที่จะต้องชำระทั้งหมดตามสัญญาเช่าซื้อกับค่าเสียหายอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นผู้เช่าซื้อจะต้องชดใช้ให้เจ้าของจนครบถ้วนตามสัญญานั้นเป็นวิธีการกำหนดจำนวนค่าเสียหาย มิใช่เป็นข้อตกลงที่เป็นข้อกำหนดค่าตอบแทนการใช้ทรัพย์ล่วงหน้าในกรณีเลิกสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคสาม แต่มีลักษณะเป็นการกำหนดเบี้ยปรับกันไว้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5283

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5283/2531

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 680

สัญญาค้ำประกันต้องการเพียงหลักฐานเป็นหนังสือที่ผู้ค้ำประกันลงชื่อฝ่ายเดียวก็ใช้ฟ้องร้องบังคับคดีได้แล้วเจ้าหนี้หาจำต้องลงลายมือชื่อในสัญญาค้ำประกันด้วยไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5282

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5282/2531

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 183, 235, 247

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ แต่โจทก์ฟ้องคดีเกินกว่า 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง จึงพิพากษายกฟ้องโจทก์ แม้จำเลยจะมิได้ฎีกาเพราะศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชนะคดี แต่จำเลยก็ยื่นคำแก้ฎีกาว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยจึงมีประเด็นที่จะต้องพิจารณาในชั้นฎีกาด้วยว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือของจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5281

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5281/2531

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1349, 1350

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 มิได้บัญญัติว่าทางจำเป็นต้องเชื่อมต่อกับทางสาธารณะโดยตรง ความมุ่งหมายสำคัญของมาตราดังกล่าวก็เพื่อให้ที่ดินที่ถูกล้อมอยู่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้เท่านั้นดังนั้นการขอให้เปิดทางจำเป็น ปลายทางดังกล่าวหาจำต้องติดทางสาธารณะเสมอไปไม่ โจทก์ฟ้องขอให้เปิดทางพิพาทโดยอ้างว่าเป็นทางจำเป็นในที่ดินของจำเลยเพื่อผ่านออกไปสู่ที่ดินของ ช. ซึ่งเป็นทางที่ติดกับทางสาธารณะ เมื่อปรากฏว่าโจทก์ไม่สามารถใช้ที่ดินของ ช. ได้เพราะ ช. ไม่ยอมให้ใช้เช่นนี้ ทางพิพาทจึงไม่ใช่ทางจำเป็น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5280

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5280/2531

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1646, 1706 (3)

บทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1706(3)นั้นหมายความว่า แม้ระบุทรัพย์สินที่ยกให้ไว้ไม่ชัดแจ้งเมื่อยังอาจพอทราบแน่นอนได้ย่อมหาตกเป็นโมฆะไม่ พินัยกรรมฉบับพิพาทไม่ได้ระบุเลขโฉนดที่ดินแปลงที่ยกให้แต่ระบุไว้เป็นสำคัญว่าคือที่ดินแปลงตั้งอยู่หมู่ที่ 1 ตำบลบางตลาด อำเภอปากเกร็ดจังหวัดนนทบุรี และยังระบุไว้อีกว่าเป็นที่ดินแปลงที่ผู้ทำพินัยกรรมมีกรรมสิทธิ์ร่วมอยู่กับนายนามและนายแนมโดยในพินัยกรรมระบุยกที่ดินให้เฉพาะส่วนของผู้ทำพินัยกรรมด้วย แม้ไม่ระบุจำนวนก็ย่อมชัดแจ้งแล้ว พินัยกรรมฉบับพิพาทจึงสมบูรณ์ใช้บังคับได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5219

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5219/2531

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 341, 342 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 525

ฟ. พูดยกให้บางส่วนซึ่งที่ดินที่มีโฉนดอันเป็นอสังหาริมทรัพย์ให้โจทก์ แต่ไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ การยกให้ดังกล่าวจึงไม่สมบูรณ์ ที่ดินยังไม่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ตามกฎหมาย เมื่อ ฟ. ตายโดยไม่ได้ทำพินัยกรรมยกที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ ที่ดินย่อมเป็นทรัพย์มรดกของ ฟ.ตกได้แก่จำเลยผู้เป็นทายาทโดยธรรมของฟ.การที่จำเลยรับมรดกที่ดินดังกล่าว แล้วนำไปขายให้แก่บุคคลภายนอกจึงไม่กระทบกระเทือนสิทธิและหน้าที่ของโจทก์ไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5278

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5278/2531

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 423, 438

จำเลยพิมพ์โฆษณาข้อความอันฝ่าฝืนความจริงทางหนังสือพิมพ์ซึ่งเมื่ออ่านข้อความทั้งหมดประกอบกันแล้วทำให้เข้าใจได้ว่าโจทก์เป็นผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์และเคยเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย กำลังวางแผนจัดตั้งพรรคการเมืองที่ถูกต้องตามกฎหมายโดยยอมรับหลักลัทธิคอมมิวนิสต์ การไขข่าวเช่นนี้ ในขณะที่ประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขและมีพระราชบัญญัติป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ใช้บังคับอยู่ย่อมทำให้โจทก์ซึ่งเป็นคนไทยคนหนึ่งเป็นที่รังเกียจ ถูกดูหมิ่นเกลียดชังจากประชาชนทั่วไป ทำให้โจทก์เสียหาย จำเลยจึงต้องร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ ข้อความดังกล่าวเป็นการหมิ่นประมาทชื่อเสียงเกียรติคุณของโจทก์และอาจกระทบถึงทางเจริญหรือทางทำมาหาได้ของโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทน แต่จำเลยได้ลงแก้ข่าวให้โจทก์ทางหนังสือพิมพ์หลายฉบับติดต่อกันหลายวันอันเป็นการบรรเทาความเสียหายไปส่วนหนึ่งแล้ว ศาลฎีกาจึงกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์ 50,000 บาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5276

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5276/2531

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 96 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 163 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497 ม. 3

โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2530 ว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาท ครั้นวันที่ 6 มีนาคม 2530 โจทก์นำไปเข้าบัญชีเรียกเก็บเงินธนาคารปฏิเสธไม่จ่ายเงิน โจทก์จึงได้นำเช็คไปเข้าบัญชีใหม่อีกเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2530 และได้รับคำปฏิเสธการจ่ายเงินอีกครั้งหนึ่งเช่นนี้ เมื่อธนาคารปฏิเสธไม่จ่ายเงินครั้งแรก ถือว่าความผิดได้เกิดขึ้นแล้ว แต่โจทก์มิได้ร้องทุกข์หรือดำเนินคดีภายในกำหนด 3 เดือน นับแต่วันดังกล่าว คดีของโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96 การที่โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องเป็นว่าโจทก์รู้ถึงการกระทำผิดและรู้ตัวผู้กระทำผิดในวันที่ 12 มีนาคม 2530 อันเป็นวันที่โจทก์ได้รับคำปฏิเสธการจ่ายเงินในครั้งหลัง จึงหามีผลเปลี่ยนแปลงคดีของโจทก์แต่อย่างใดไม่ ศาลชั้นต้นไม่รับคำขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องของโจทก์และมีคำสั่งให้งดการไต่สวนมูลฟ้อง แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์จึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5274

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5274/2531

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 362

โจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหาบุกรุก จำเลยนำสืบต่อสู้ว่าเจ้าของที่ดินคนเดิมให้บิดาจำเลยปลูกบ้านลงในที่ดิน ก่อนตายบิดาจำเลยยกบ้านให้จำเลยและจำเลยอยู่ในบ้านหลังนี้ไม่เคยย้ายไปที่ใด จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ดังนี้การที่จำเลยคงอยู่ในที่พิพาทจึงเป็นการอยู่โดยเจ้าใจว่ามีสิทธิที่จะอยู่ได้ ไม่มีเจตนากระทำผิดอาญาฐานบุกรุก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5245

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5245/2531

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1465 เดิม, 1466 เดิม

ก่อนที่จำเลยที่ 1 จะแต่งงานกับ ส. บิดามารดาของจำเลยที่ 1ได้ยกบ้านและที่ดินที่ถนนทรัพย์ให้จำเลยที่ 1 หนึ่งแปลง บ้านและที่ดินนั้น จึงเป็นสินเดิมของจำเลยที่ 1 เมื่อแต่งงานกันแล้วได้มาอยู่กินที่บ้านหลังนี้จนมีบุตร 3 คน ก็ขายบ้านและที่ดินที่ถนนทรัพย์นำเงินส่วนหนึ่งไปซื้อที่ดินที่ถนนสาธรเหนือและปลูกบ้านอยู่ ต่อมาได้ขายที่ดินและบ้านที่ถนนสาธรเหนือนำเงินส่วนหนึ่งไปรับซื้อฝากที่ดินแปลงพิพาท และผู้ขายฝากไม่ไถ่คืนจึงตกเป็นของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นการได้มาโดยขายสินเดิมไป และนำเงินที่ขายได้มาซื้อ ที่ดินพิพาทจึงเป็นทรัพย์สินที่ต้องเอามาแทนสินเดิมที่ขายไป แม้ก่อนจะนำเงินมารับซื้อฝากที่พิพาทจำเลยที่ 1 ได้นำเงินที่ได้จากการขายสินเดิมไปซื้อที่ดินที่ถนนสาธรเหนือไว้ชั้นหนึ่งก่อนก็ไม่ทำให้ผลในทางกฎหมายเปลี่ยนแปลงไป เพราะที่ดินแปลงที่ถนนสาธรเหนือก็ถือว่าเป็นสินเดิมของจำเลยที่ 1 นั่นเองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1465 ก่อนทำการแก้ไข แต่อาคารโรงเรียนและตึกแถวจำเลยที่ 1 ออกเงินสร้างขึ้นบนที่ดินพิพาทหลังจากที่ที่ดินดังกล่าวตกเป็นของจำเลยที่ 1 แล้วและไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้ใช้เงินที่ได้จากการขายที่ดินแปลงที่ถนนสาธรเหนือมาทำการก่อสร้าง จึงเป็นสินสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1466 เดิม

« »
ติดต่อเราทาง LINE