คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2518

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 241

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 241/2518

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 387, 388, 453 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 55

โจทก์ซื้อที่ดินและตึกแถวซึ่งแบ่งแยกโฉนดเป็นแปลง ๆ แล้วจากจำเลย เพื่อขายเอากำไร โจทก์ขายที่ดินและตึกแถวตามสัญญาไป 12 ห้อง 12 โฉนด โดยโจทก์ติดต่อจำเลยให้ทำใบมอบอำนาจให้โจทก์ไปโอนขายแก่ผู้ซื้อเป็นคราวๆ ไป และโจทก์ได้ชำระเงินให้จำเลยเป็นรายห้องตามที่ขายได้แล้วดังนี้ เห็นได้ว่าแม้สัญญาจะได้กำหนดจำนวนห้องที่ซื้อขายและวันชำระเงินที่เหลือครั้งสุดท้ายระบุเป็นวันโอนโฉนดด้วยก็ดี แต่โจทก์จำเลยก็มิได้มีเจตนาถือจำนวนห้อง กำหนดเวลาชำระเงินที่เหลือและวันโอนโฉนดเป็นสารสำคัญ เพราะสัญญามิได้ระบุชัดแจ้งว่าหากผู้ซื้อผิดนัดไม่นำเงินที่เหลือมาชำระแก่ผู้ขายตามกำหนด และผู้ขายไม่มาโอนโฉนดในวันชำระเงินดังกล่าวแล้ว สัญญาเป็นอันเลิกกันทันที และเมื่อทำสัญญากันแล้ว โจทก์ยังมีสิทธิที่จะเอาตึกแถวไปแบ่งขายและโอนโฉนดได้ก่อนเป็นห้องๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่จำเลยยอมปฏิบัติไปตามสัญญาส่วนหนึ่งแล้ว จำนวนเงินคงเหลือที่จะชำระหนี้ครั้งสุดท้ายจึงไม่แน่นอน ชอบที่จะคิดเงินกันก่อน วัตถุที่ประสงค์แห่งสัญญาว่าโดยสภาพหรือโดยเจตนาที่คู่สัญญาแสดงไว้มิใช่ว่าจะเป็นผลสำเร็จได้ก็แต่ด้วยการชำระหนี้ ณ เวลาที่กำหนด หรือภายในระยะเวลาวันใดวันหนึ่งซึ่งกำหนดไว้ตามความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 388 สัญญาจะซื้อขายรายนี้จึงต้องบังคับตามมาตรา 387 กล่าวคือ โจทก์ต้องบอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้ภายในระยะเวลาพอสมควรก่อน หากจำเลยไม่ชำระหนี้ โจทก์จึงจะบอกเลิกสัญญาได้ แต่โจทก์มิได้ปฏิบัติเช่นนั้น จึงไม่มีสิทธิที่จะบอกเลิกสัญญา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 192

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 192/2518

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 4, 7, 164, 921, 940, 989, 1002

การสลักหลังเช็คซึ่งสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือย่อมเป็นการประกัน (อาวัล) สำหรับผู้สั่งจ่ายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 921,989 และตามมาตรา940 วรรคแรก ผู้รับอาวัลย่อมต้องผูกพันเป็นอย่างเดียวกับบุคคลซึ่งตนประกัน ซึ่งมีความหมายว่าผู้สั่งจ่ายมีความรับผิดต่อผู้ทรงอย่างใด ผู้รับอาวัลย่อมต้องมีความรับผิดต่อผู้ทรงเช่นเดียวกัน ดังนั้นอายุความที่ผู้สลักหลังดังกล่าวจะยกขึ้นต่อสู้ผู้ทรงจึงมีกำหนด 1 ปีนับแต่เช็คถึงกำหนดตามมาตรา 1002 หาใช่ต้องใช้อายุความทั่วไปไม่

จำเลยนำเช็คที่จำเลยลงชื่อสลักหลังมาขายให้ธนาคารโจทก์โดยจำเลยต้องเสียค่าธรรมเนียมให้แก่ธนาคารโจทก์คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 14 ต่อปี นับแต่วันที่จำเลยรับเงินค่าขายเช็คไปจากธนาคารโจทก์จนถึงวันที่เช็คถึงกำหนด และธนาคารโจทก์ได้หักดอกเบี้ยนี้ไว้แล้ว ดังนี้เป็นค่าตอบแทนที่ธนาคารโจทก์รับซื้อเช็คไว้เท่านั้น ส่วนดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดในกรณีธนาคารโจทก์ขึ้นเงินตามเช็คไม่ได้ เมื่อไม่ปรากฏว่าได้มีข้อตกลงไว้โดยชัดแจ้งธนาคารผู้ทรงย่อมเรียกร้องจากจำเลยได้เพียงร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 จะนำประเพณีธนาคารในการคิดดอกเบี้ยมาเรียกดอกเบี้ยจากจำเลยร้อยละ 14 ต่อปีหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 237

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 237/2518

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 158 พระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ.2504 ม. 37, 38 พระราชบัญญัติยา พ.ศ.2510 พระราชบัญญัติควบคุมการประกอบโรคศิลปะ (ฉบับที่ 8) พ.ศ.2511 ประมวลกฎหมายอาญา ม. 33, 91

คำว่า 'ขาย' ตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติยาพ.ศ.2510 หมายความถึงจำหน่าย จ่าย แจก หรือแลกเปลี่ยนเพื่อประโยชน์ในการค้า และมีไว้เพื่อขายด้วย

ยาที่จำเลยได้ขายและมีไว้เพื่อขายโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นทรัพย์สินที่ต้องริบตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ.2510 มาตรา 126 ส่วนเครื่องมือและอุปกรณ์การแพทย์ซึ่งจำเลยใช้ในการรักษาพยาบาลคนไข้ในสถานพยาบาลซึ่งจำเลยเป็นผู้ดำเนินการโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นทรัพย์สินที่ศาลมีอำนาจสั่งริบได้ตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ.2504 มาตรา 37

พระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ.2504 มาตรา 38 เป็นกรณีที่ผู้ได้รับอนุญาตให้ดำเนินการสถานพยาบาลอยู่ก่อนและได้ดำเนินการต่อไปเมื่อใบอนุญาตสิ้นอายุแล้ว จำเลยไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ดำเนินการสถานพยาบาล แต่ได้เปิดดำเนินการสถานพยาบาลการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ.2504 มาตรา 37

พระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2511 ยกเลิกพระราชบัญญัติควบคุมการประกอบโรคศิลปะในส่วนที่เกี่ยวกับเวชกรรมดังนั้นการที่โจทก์อ้างพระราชบัญญัติควบคุมการประกอบโรคศิลปะ ซึ่งเป็นกฎหมายที่ถูกยกเลิกแล้ว มาขอให้ลงโทษจำเลยเท่ากับโจทก์ไม่ได้อ้างกฎหมายเลย ศาลยกข้อนี้ขึ้นวินิจฉัยยกฟ้องได้เอง

ความผิดตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาล ฯ พระราชบัญญัติยา ฯขายยาและดำเนินการสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาตซึ่งได้กระทำในระหว่างวันเวลาเดียวกัน เป็นความผิดหลายกระทง ศาลลงโทษเรียงกระทงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ซึ่งแก้ไขโดยประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 พ.ศ.2514 ข้อ2

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 236

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 236/2518

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 18

พระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการกรมตำรวจกระทรวงมหาดไทย พ.ศ.2508 มิได้บัญญัติถึงเรื่องอำนาจสอบสวนไว้ การสอบสวนความผิดตามประมวลรัษฎากรย่อมเป็นไปตามบทบญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ดังนั้นพนักงานสอบสวนท้องที่ย่อมมีอำนาจสอบสวนความผิดตามประมวลรัษฎากรได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 225/2518

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 127

สำเนาทะเบียนบ้านซึ่งเจ้าหน้าที่รับรองว่ามารดาจำเลยคือเจ้ามรดก เอกสารนี้กฎหมายสันนิษฐานว่าแท้จริงและถูกต้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 224

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 224/2518

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 282 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 214, 728, 729, 733, 850, 852

โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้ชำระหนี้จำนอง แล้วโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยจำเลยยอมชำระหนี้จำนอง ศาลพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดแล้ว ดังนี้ ถือว่าเป็นเพียงฟ้องในมูลหนี้สามัญ และมีผลทำให้หนี้เดิมระงับ เกิดหนี้ใหม่ตามสัญญาประนีประนอมยอมความเมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์ย่อมบังคับคดีแก่ทรัพย์สินอื่นๆ ของจำเลยรวมทั้งทรัพย์ที่จำนองได้ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่1683/2498,127/2506 และ 989/2506)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 222

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 222/2518

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 177

คำให้การว่าโจทก์มอบอำนาจให้ฟ้องตามใบมอบอำนาจจริงหรือไม่จำเลยไม่ทราบไม่รับรอง หนังสือมอบอำนาจไม่สมบูรณ์ ดังนี้เป็นแต่เพียงจำเลยปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ แต่ไม่ได้แสดงเหตุแห่งการปฏิเสธจึงไม่มีสิทธินำสืบพยานถึงเหตุแห่งการปฏิเสธนั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 221

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 221/2518

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 420

สวนยางของโจทก์อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองหรือกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่โจทก์ปลูกต้นยางและครอบครองก็ตาม โจทก์มีสิทธิในต้นยางดีกว่าผู้อื่นระหว่างเอกชนด้วยกัน จำเลยทำละเมิดให้ไฟไหม้ต้นยางของโจทก์เสียหาย ต้องรับผิดต่อโจทก์ตาม มาตรา 420

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 218

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 218/2518

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 62, 272, 293

โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยจำเลยที่ 1 ยอมชดใช้เงินให้โจทก์ศาลมีคำพิพากษาตามยอมแล้วจำเลยที่ 1 กลับเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นจำเลย ขอให้ใช้ค่าเสียหายอ้างว่าโจทก์และทนายความของจำเลยร่วมกันฉ้อฉลทำสัญญาประนีประนอมต่อศาลให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ในคดีดังกล่าวดังนี้ มูลคดีที่จำเลยนำไปฟ้องก็คือมูลคดีที่มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในคดีนี้ จึงเป็นการฟ้องในมูลคดีเรื่องเดียวกัน มิใช่เป็นการฟ้องคดีเรื่องอื่นตามความหมายมาตรา 293 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง อันจะเป็นเหตุให้ศาลงดการบังคับคดีได้

การที่ทนายความของจำเลยลงชื่อในคำบังคับซึ่งออกตามคำพิพากษาของศาล ถือได้ว่าทนายความซึ่งเป็นตัวแทนได้กระทำไปในขอบอำนาจในฐานะทนายความแทนจำเลยซึ่งเป็นตัวการย่อมมีผลผูกพันจำเลย และถือได้ว่าจำเลยทราบคำบังคับของศาลแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 200

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 200/2518

พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490

มีกระสุนปืนและปลอกกระสุนปืนที่ใช้กับอาวุธปืนซึ่งได้รับอนุญาตให้มีและใช้แล้วไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ.2490 มาตรา 8

« »
ติดต่อเราทาง LINE