คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2518
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 409/2518
พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 ม. 4 (4), 48
ไม้หวงห้ามที่เป็นดุมเกวียนกำเกวียนและกีบเกวียน ซึ่งมีสภาพเป็นเครื่องใช้ และจำเลยมีไว้เพื่อจำหน่ายแก่ผู้ใช้เกวียน เอาไปใช้แทนส่วนที่หักและพร้อมที่จะนำเอาไปใช้ได้ทันทีนั้น นับได้ว่าเป็นเครื่องใช้ประกอบเป็นล้อเกวียนมิใช่เป็นวัตถุที่จะเอาไปเปลี่ยนแปลงทำเป็นสิ่งอื่นต่อไป จึงมิใช่ไม้แปรรูปตามพระราชบัญญัติป่าไม้(ฉบับที่ 4) พ.ศ.2503 มาตรา 4 (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่3054/2516)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 408/2518
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 328 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 158 (5)
ความผิดฐานหมิ่นประมาท โจทก์บรรยายฟ้องเกี่ยวกับวันเวลาซึ่งเกิดการกระทำความผิดว่า จำเลยหมิ่นประมาทใส่ความ ธ. โดยการโฆษณาด้วยเอกสารหนังสือลงวันที่ 22 มีนาคม 2515 ต่อหัวหน้าคณะปฏิวัติซึ่งเป็นบุคคลที่ 3 และจำเลยโฆษณาด้วยเอกสารหนังสือลงวันที่เดียวกันต่ออธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผ่านเลขาธิการมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งได้มีความเห็นของเลขาธิการเสนออธิการบดีเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2515 เวลากลางวัน ดังนี้ ถือว่าฟ้องโจทก์ได้บรรยายข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวันเวลาที่เกิดการกระทำนั้นๆ เท่าที่อยู่ในวิสัยของโจทก์ที่จะบรรยายได้ ให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว จึงเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158(5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 361/2518
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 360
จำเลยล้อมรั้วที่ดินตาม น.ส.3 ของจำเลยรุกล้ำลำห้วยสาธารณะกั้นเอาบ่อน้ำสาธารณะมาเป็นของตน ทำให้ประชาชนเข้าไปใช้น้ำในบ่อไม่ได้ โดยมีเจตนาจะเอาบ่อน้ำนั้นไว้ใช้เป็นส่วนตัว มิได้มุ่งหมายหรือมีเจตนาโดยตรงที่จะทำให้บ่อน้ำนั้นเสียหายหรือไร้ประโยชน์ และบ่อน้ำคงมีสภาพเป็นบ่อน้ำอยู่ตามเดิม ไม่ได้ถูกทำให้ไร้ประโยชน์ไปอย่างใด ดังนี้ การล้อมรั้วกั้นเอาบ่อน้ำไว้จึงเป็นการห่างไกลเกินความประสงค์ของจำเลยในเรื่องทำให้บ่อน้ำนั้นเสียหายหรือไร้ประโยชน์ การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 360
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 450/2518
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 33 พระราชบัญญัติการค้าข้าว พ.ศ.2489
ข้าวสารเหนียวของกลาง 80 กระสอบเป็นข้าวที่ไม่แจ้งปริมาณและสถานที่เก็บต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ถือว่าเป็นข้าวที่เกี่ยวเนื่องกับความผิด ต้องริบตาม พระราชบัญญัติการค้าข้าวพ.ศ.2489 มาตรา 21 ทวิ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 441 - 443/2518
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1477, 1717
สามีภริยาก่อนบรรพ 5 ทำพินัยกรรมเกินส่วนของตนในสินบริคณห์ พินัยกรรมนั้นมีผลเฉพาะส่วนของตนตามมาตรา1477
การเข้าเป็นผู้จัดการมรดกทำหลัง 1 ปี นับตั้งแต่เจ้ามรดกตายโดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาลไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 393/2518
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 204, 224, 940, 967, 989, 990, 1002
จำเลยที่ 1 ผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาทได้แก้วันที่ลงในเช็คสองครั้ง ครั้งสุดท้ายวันที่ 1 ธันวาคม 2513 โจทก์ฟ้องคดีเรียกเงินตามเช็ควันที่ 25 พฤศจิกายน 2514 จึงไม่พ้นเวลาหนึ่งปีนับแต่วันที่ตั๋วเงินถึงกำหนดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1002
ผู้สลักหลังเช็คเป็นประกันการใช้เงินตามเช็คนั้นต้องผูกพันเป็นอย่างเดียวกันและรับผิดร่วมกันกับผู้สั่งจ่ายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 940,967,989
กำหนดเวลาที่ต้องยื่นเช็คแก่ธนาคารเพื่อให้ใช้เงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 990 เป็นเรื่องเงื่อนไขแห่งสิทธิไล่เบี้ยของผู้ทรงเช็คต่อผู้สลักหลังโอนเช็คเท่านั้น ไม่รวมถึงกรณีที่ผู้ทรงเช็คใช้สิทธิไล่เบี้ยต่อผู้สลักหลังเช็คเป็นประกันซึ่งต้องผูกพันในฐานะผู้รับอาวัลด้วย
โจทก์เพิ่งนำเช็คไปยื่นต่อธนาคารเพื่อให้ใช้เงินหลังวันที่ลงในเช็คและธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยจึงต้องรับผิดใช้ดอกเบี้ยแก่โจทก์เพราะเหตุผิดนัดแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 435/2518
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 142, 183 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 820, 821
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 ในฐานะตัวการรับผิดในการกระทำของตัวแทน โดยฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เชิดและยินยอมให้จำเลยที่ 2 เป็นตัวแทน ไปซื้อเชื่อสินค้าจากโจทก์แล้วค้างชำระค่าสินค้าเหล่านั้น แม้ทางพิจารณาจะฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้เชิดและยินยอมให้จำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนแต่เมื่อได้ความว่า ซ. ซึ่งเป็นลูกจ้างและตัวแทนของจำเลยที่ 1 ได้ซื้อเชื่อสินค้าจากโจทก์แทนจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ในฐานะตัวการย่อมต้องรับผิดค่าสินค้าต่อโจทก์ ไม่ถือว่าเป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 433/2518
พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ.2474 ม. 29 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 420
เครื่องหมายการค้าของโจทก์ที่จดทะเบียนไว้เป็นอักษรโรมันคำว่า TASTE อยู่เหนือรูปปลา ภายในรูปอาร์ม การจดทะเบียนโจทก์ไม่ถือเป็นสิทธิแต่ผู้เดียวที่จะใช้อักษรโรมันคำว่า TASTE ทั้งรวมหรือแยกกันแต่ลำพังจากรูปปลา อาร์มซึ่งการจดทะเบียนได้ระบุไว้ด้วยว่า ไม่ให้สิทธิแก่ผู้ขอจดทะเบียนแต่ผู้เดียวที่จะใช้อักษรโรมันคำว่า TASTEทั้งรวมหรือแยกกันตามลำพังจากรูปปลาอาร์ม ฉะนั้น โจทก์จึงมีสิทธิเฉพาะเครื่องหมายการค้าตามที่จดทะเบียนไว้เท่านั้นกล่าวคือ ต้องเป็นอักษรโรมันคำว่า TASTE อยู่เหนือรูปปลาภายในรูปอาร์มเครื่องหมายการค้าที่มีแต่เพียงอักษรโรมันอย่างเดียวใช้คำว่า TASTE หรือการใช้อักษรไทยคำว่า เทสท์ จึงไม่เป็นของโจทก์ที่จะมีสิทธิแต่ผู้เดียวตามความหมายของมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ.2474 โจทก์จึงนำคดีสู่ศาลเพื่อป้องกันหรือเรียกค่าเสียหายในการล่วงสิทธิเครื่องหมายการค้าที่ ไม่ได้จดทะเบียนนั้นไม่ได้ ตามมาตรา 29
ความตอนท้ายของมาตรา 19 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2504 มาตรา 6 วรรคแรกที่ว่าคำแสดงปฏิเสธอันลงไว้ในทะเบียนนั้นไม่กระทบสิทธิแห่งเจ้าของโดยประการอันมิได้เป็นปัญหาเนื่องแต่การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าที่เจ้าของให้คำแสดงปฏิเสธนั้นหมายถึงสิทธิประการอื่นเช่นสิทธิฟ้องร้องคดีซึ่งจำเลยเอาสินค้าของจำเลยไปลวงขายว่าเป็นสินค้าของโจทก์ ดังมีบัญญัติไว้ในมาตรา 29 วรรคสอง เป็นต้น แต่โจทก์มิได้ฟ้องโดยอาศัยสิทธิประการอื่น
เครื่องหมายการค้าโจทก์ใช้ตัวเอนว่า 'TASTE' และยังมีอักษรตัวตรงในบรรทัดล่างว่า 'MODERNFROMU.S.A.' ส่วนเครื่องหมายการค้าจำเลยแม้จะเป็นอักษรโรมันคำว่า TASTE แต่ก็เป็นอักษรตัวตรงและบรรทัดต่อไปใช้อักษรไทยตัวใหญ่กว่าว่า 'เทสท์' โดยมีอักษรไทยบรรทัดถัดไปอีกว่า'23 บางลำภู' อันเป็นการแตกต่างกันเห็นได้ชัดแม้แต่ชื่อร้านของจำเลยก็ใช้เป็นภาษาไทยว่า เทสท์ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยได้กระทำละเมิดต่อสิทธิของโจทก์แต่ประการใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 432/2518
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 119
เมื่อโจทก์ยื่นฟ้อง นายประกันไม่สามารถส่งตัวจำเลยซึ่งได้ประกันตัวไปต่อศาล ศาลชั้นต้นสั่งปรับเต็มตามสัญญาประกันนายประกันอุทธรณ์ขอให้ระงับการสั่งปรับไว้ก่อน ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนนายประกันฎีกาต่อมาและขอลดค่าปรับเมื่อปรากฏว่าหลังจากที่ศาลชั้นต้นสั่งปรับแล้วนายประกันได้เสียค่าใช้จ่ายขวนขวายติดตามจับตัวจำเลยมาส่งศาลได้ ศาลฎีกาย่อมยกเป็นเหตุประกอบการพิจารณาลดค่าปรับให้นายประกันได้ (ไม่จำต้องย้อนไปให้ศาลล่างพิจารณาข้อนี้เสียก่อน)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 428/2518
nan
มาตรา 39 แห่งพระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด พ.ศ.2466 เป็นบทบัญญัติว่าด้วยการฟ้องเอาโทษ แต่การชำระค่าสินบนตามมาตรา 3 พระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด แก้ไขเพิ่มเติมพุทธศักราช 2477 ไม่ใช่โทษทั้งเป็นเรื่องที่กฎหมายบัญญัติเพิ่มเติมเกี่ยวกับเงินค่าสินบนขึ้นโดยเฉพาะหาอยู่ในบังคับแห่งมาตรา 39 ไม่ จึงไม่ทำให้พนักงานอัยการมีอำนาจร้องขอ สิทธิเรียกร้องเอาค่าสินบนในอัตราไม่เกินร้อยละ 20 แห่งเงินค่าปรับ ย่อมเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้จับผู้นำจับ หรือ แจ้งความจับเท่านั้นที่จะร้องขอต่อศาลได้