คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2518
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 229/2518
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 32, 33, 90, 91, 288, 289, 340 วรรคท้าย
จำเลยกับพวกร่วมกันมีปืนพกเป็นอาวุธเข้าปล้นทรัพย์ของผู้เสียหาย และเพื่อความสะดวกในการปล้นได้ใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงผู้เสียหายกับพวกถึงแก่ความตายโดยเจตนาฆ่าดังนี้ การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289,340 วรรคท้าย ต้องลงโทษตามมาตรา 289 อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด และเมื่อเป็นความผิดตามมาตรา 289 แล้ว ก็ไม่เป็นความผิดตามมาตรา 288 อีกบทหนึ่ง
อาวุธปืนของผู้ตายที่ถูกจำเลยกับพวกปล้นเอาไปและเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มาเป็นของกลางนั้น เมื่อข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ความชัดว่าเป็นอาวุธปืนที่ไม่มีหมายเลขทะเบียนของเจ้าพนักงาน เนื่องจากเลขทะเบียนลบเลือนเช่นนี้ไม่ชอบที่ศาลจะสั่งริบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1193 - 1195/2518
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 172 พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2511
ผู้ร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบรรยายคำร้องว่าเจ้าพนักงานและกรรมการตรวจคะแนนปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริตทำให้คะแนนของผู้สมัครหมายเลข 3 เลข 4 มากกว่าความเป็นจริงและคะแนนของผู้ร้องน้อยกว่าความเป็นจริงโดยมิได้ระบุไว้ว่าคะแนนที่ผิดจากความเป็นจริงนี้มีจำนวนเท่าใด เช่นนี้เมื่อเหตุทุจริตเกิดในหน่วยเลือกตั้งตามที่ระบุในคำร้องมีหลายสิบหน่วย หากเจ้าหน้าที่ได้กระทำการทุจริตดังกล่าวจริงก็ยากที่ผู้ร้องจะประมาณคะแนนที่เกิดจากความทุจริตได้ การไม่ระบุจำนวนคะแนนในกรณีเช่นนี้จึงไม่ทำให้คำร้องเคลือบคลุม แต่ที่ผู้ร้องคัดค้านระบุในคำร้องว่าผู้สมัครหมายเลข 3 เลข 4 ให้ทรัพย์หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินเช่น เงิน เสื้อผ้า ข้าวสาร ฯลฯ แก่ผู้เลือกตั้งเพื่อจงใจให้ผู้เลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ตนโดยมิได้กล่าวให้ชัดแจ้งว่าผู้สมัครหมายเลขใดให้หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินอย่างใดแก่ผู้ใด ย่อมเป็นคำร้องที่เคลือบคลุม
การตรวจนับคะแนนมีผิดพลาดบ้างซึ่งไม่ทำให้ผลการลงคะแนนเลือกตั้งเปลี่ยนแปลง ไม่เป็นเหตุอันควรสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1192/2518
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 112, 145, 146, 572
โจทก์ทำหนังสือสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ยี่ห้อมาสด้าแบบเก๋งจากบริษัทจำเลย และยังได้ทำหนังสือรับรองให้จำเลยยึดถือไว้มีความตอนแรกว่า"…นอกจากข้าพเจ้าจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขแห่งสัญญาเช่าซื้อดังกล่าวแล้วข้าพเจ้าขอรับรองต่อบริษัทฯ ตามเงื่อนไขแห่งข้อความต่อไปนี้อีกด้วยคือ…"และข้อ 2 แห่งหนังสือรับรองก็ว่า "เนื่องจากราคาค่าเช่าซื้อรถยนต์ที่เช่าซื้อนี้บริษัทฯ ได้คิดให้ข้าพเจ้าในราคาต่ำกว่าราคาที่ขายทั่วไป ดังนั้นในระหว่างอายุแห่งสัญญาเช่าซื้อยังไม่ครบกำหนด ข้าพเจ้าจะไม่นำรถคันที่เช่าซื้อนี้โอนให้แก่บุคคลภายนอกไม่ว่าโดยนิตินัยหรือพฤตินัยเป็นอันขาด และหากข้าพเจ้าจะต้องออกจากงานของบริษัทไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม ข้าพเจ้าจะต้องจัดการชำระค่าเช่าซื้อที่ติดค้างทั้งหมดแก่บริษัทฯ ทันที หรือจะต้องเพิ่มราคาค่าเช่าซื้อตามจำนวนที่บริษัทฯ ได้ลดให้และจัดหาหลักประกันให้แก่บริษัทฯ จนเป็นที่พอใจแล้วแต่กรณี" และในข้อ 3มีข้อความว่า "ให้ถือเอาเงื่อนไขแห่งหนังสือนี้ทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งแห่งสัญญาเช่าซื้อฉบับลงวันที่ 11 เดือยเมษายน พ.ศ. 2512 โดยเป็นสารสำคัญอันเป็นเหตุให้บริษัทฯ บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อได้ เดือนเมษายนพ.ศ. 2512 โดยเป็นสารสำคัญอันเป็นเหตุให้บริษัทฯ บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อได้ ในกรณีที่ข้าพเจ้าปฏิบัติผิดสัญญานี้" จากข้อความในหนังสือรับรองดังกล่าวแล้วนี้ ล้วนแต่เป็นเงื่อนไขที่โจทก์สมัครใจยินยอมผูกพันตนกับจำเลยเองและยอมรับเอาผลที่จะเกิดจากการแสดงเจตนาตามข้อความในหนังสือรับรองนั้น ดังนั้นโจทก์จึงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามหนังสือรับรองดังกล่าว แม้จำเลยจะมิได้เซ็นชื่อในหนังสือนั้นก็ตาม ก็ถือได้ว่าจำเลยตกลงกับโจทก์ตามนั้น เพราะจำเลยเป็นฝ่ายยึดถือหนังสือรับรองนี้ไว้ และยังถือได้อีกว่าหนังสือรับรองดังกล่าวเป็นเงื่อนไขอันหนึ่งของสัญญาเช่าซื้อด้วยเมื่อสัญญาเช่าซื้อสมบูรณ์ ข้อความตามหนังสือรับรองก็ใช้บังคับได้ไม่เป็นโมฆะ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1178/2518
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 650, 702, 744 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 142
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้เงินและจำนองที่ดินไว้กับโจทก์เมื่อครบกำหนดจำเลยไม่ไถ่ถอนจำนอง ขอให้บังคับจำเลยไถ่ถอนจำนองหากไม่ไถ่ถอนก็ขอให้บังคับจำนอง จำเลยให้การต่อสู้ว่า ไม่เคยกู้และรับเงินจำนอง ความจริงเป็นเรื่องการเช่าซื้อรถยนต์ระหว่างสามีจำเลยกับสามีโจทก์ สามีโจทก์เกรงจะไม่ได้เงินค่าเช่าซื้อ จึงให้จำเลยจำนองที่ดินไว้กับโจทก์เป็นประกันดังนี้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าสัญญาจำนองทำขึ้นเพื่อเป็นประกันการเช่าซื้อมิใช่เพื่อประกันการกู้ดังโจทก์ฟ้องขอบังคับแล้วศาลชอบที่จะพิพากษายกฟ้องโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1174/2518
พระราชบัญญัติว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามในเขตจังหวัด ปัตตานี นราธิวาส ยะลา และสตูล พ.ศ.2489 ม. 3, 4
คดีมรดกของผู้นับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งต้องใช้กฎหมายอิสลามว่าด้วยครอบครัวมรดกบังคับแทนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั้นเมื่อเป็นเรื่องที่ศาลจะต้องวินิจฉัยเสียก่อนว่าทรัพย์ใดเป็นมรดกหรือไม่ ในการวินิจฉัยเช่นนี้จะนำกฎหมายตามลัทธิศาสนาอิสลามมาใช้บังคับหาได้ไม่ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1203/2494)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1137/2518
ประมวลรัษฎากร
เงินสินไถ่ที่ผู้ขายฝากที่ดินชำระแก่ผู้ซื้อฝากเท่ากับราคาขายฝากนั้นเป็นเงินได้ของผู้ซื้อฝากอันพึงประเมินตาม ประมวลรัษฎากร มาตรา39, 40(8) ถ้าไม่ทำตามระเบียบที่กรมสรรพากรวางไว้ก็ไม่ได้รับยกเว้นการคำนวณภาษีเงินได้ตาม มาตรา 42(9) กระทรวงเจ้าสังกัดเสียภาษีแทนเฉพาะเงินเดือนตามส่วนเท่านั้น หากกระทรวงเสียเกินไป ก็เป็นเรื่องที่ต้องคืนกันเองแต่ผู้เสียภาษียังต้องรับผิดต่อกรมสรรพากรเต็มจำนวน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1190/2518
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 420, 438, 477, 549 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 55, 57
เดิมเจ้าของที่ดินตกลงให้ ท.เช่าที่ดินเพื่อปรับปรุงก่อสร้างอาคารพาณิชย์โดยให้กรรมสิทธิ์ในสิ่งก่อสร้างตกเป็นของเจ้าของที่ดินนับแต่วันสร้างเสร็จ และให้ ท.มีสิทธิเก็บผลประโยชน์ได้เป็นเวลา 12 ปีนับแต่วันครบกำหนดก่อสร้าง ต่อมา ท. ได้โอนสิทธิตามสัญญาเช่าให้โจทก์ตามที่มีข้อตกลงอนุญาตไว้ เจ้าของที่ดินได้แจ้งให้จำเลยออกไปจากที่ดิน จำเลยไม่ยอมขนย้ายออกไปทำให้โจทก์เข้าก่อสร้างในที่ดินที่เช่าไม่ได้ โจทก์จึงฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยโดยเรียกเจ้าของที่ดินเข้ามาเป็นโจทก์ร่วม พร้อมกับยื่นคำฟ้อง ดังนี้เมื่อปรากฏว่าจำเลยเข้าอยู่ในที่เช่าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ร่วม อันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ร่วม โจทก์และโจทก์ร่วมจึงมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยซึ่งอยู่ในที่เช่าโดยละเมิดได้ โดยไม่จำต้องบอกกล่าวให้จำเลยออกไปจากที่เช่าก่อน และแม้โจทก์จะไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยโดยลำพัง โจทก์ก็ชอบที่จะขอให้ศาลเรียกโจทก์ร่วมเข้ามาในคดีเพื่อศาลจะได้วินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทระหว่างผู้เป็นคู่กรณีทั้งหลายรวมไปเป็นคดีเดียวกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 477 และ 549 ทำให้อำนาจฟ้องของโจทก์บริบูรณ์ขึ้นได้ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่1053/2509)
ในกรณีดังกล่าวเมื่อจำเลยทำละเมิด ย่อมต้องมีความเสียหายเกิดขึ้นเพราะผลแห่งการละเมิด และศาลจะบังคับให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนสถานใดเพียงใดนั้น ย่อมแล้วแต่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด และค่าสินไหมทดแทนนั้นรวมทั้งค่าเสียหายอันจะพึงบังคับให้ใช้เพื่อความเสียหายอย่างใดๆ ที่จำเลยได้ก่อขึ้นนั้นด้วย ฉะนั้นการที่จำเลยไม่ยอมออกจากที่เช่า เป็นเหตุให้โจทก์ไม่สามารถปลูกตึกแถวในที่เช่าให้เช่าหาประโยชน์ตามสัญญาที่ผูกพันกันระหว่างโจทก์กับโจทก์ร่วม ซึ่งจำเลยได้รับการบอกกล่าวให้ทราบแล้ว จึงต้องถือว่าเป็นความเสียหายอันเนื่องจากจากการทำละเมิดของจำเลย เมื่อโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยโดยเรียกโจทก์ร่วมเข้ามาในคดี จำเลยจึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1181/2518
พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2511 ม. 40, 41, 57, 58, 63 พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2517 ม. 19 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 1 (3), 172, 180
พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2511 ให้นำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสองบัญญัติว่า "คำฟ้องต้องแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น" มาตรา 1(3) ได้บัญญัติคำว่า "คำฟ้อง"ให้หมายถึงกระบวนพิจารณาใดๆ ที่โจทก์ได้เสนอข้อหาต่อศาลฯลฯ ไม่ว่าจะได้เสนอในขณะเริ่มคดีโดยคำฟ้องหรือคำร้องขอ ฯลฯ ดังนี้ คำร้องคัดค้านการเลือกตั้งจึงต้องอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 ด้วย
คำร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งกล่าวอ้างแต่ว่า คณะกรรมการตรวจคะแนนหลายหน่วยเลือกตั้งปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยไม่กล่าวให้แจ้งชัดว่าคณะกรรมการฯหน่วยใดบ้างที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ อ้างว่าคณะกรรมการฯนับบัตรดีของหมายเลข 10 เป็นบัตรเสีย นับบัตรเสียของหมายเลขอื่นเป็นบัตรดี โดยไม่แสดงโดยแจ้งชัดว่าเป็นบัตรเสียเพราะเหตุใด กล่าวอ้างว่ามีบุคคลผู้ไม่มีสัญชาติไทยและบุคคลอื่นๆ ได้กระทำการเพื่อประโยชน์แห่งการรับเลือกตั้งโดยประการที่เป็นคุณแก่ ช.ผู้สมัครรับเลือกตั้งหมายเลข 2 ด้วยการช่วยเหลือในด้านการเงินและทรัพย์สินอื่นๆ โดยมิได้กล่าวให้ชัดเจนว่าบุคคลนั้นๆ คือใคร ช่วยเหลือในด้านการเงินและทรัพย์สินอื่น โดยกระทำอย่างใดอันจะถือได้ว่าเป็นการกระทำที่เป็นคุณ กล่าวอ้างว่าช.ผู้สมัครหมายเลข2และตัวแทนได้ให้เงินและทรพัย์สินและสัญญาว่าจะให้เงินแก่ผู้เลือกตั้งเพื่อจูงใจให้ผู้เลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ตน และไม่ให้ลงคะแนนแก่ล.กับผู้สมัครฯ หมายเลขอื่นโดยมิได้กล่าวให้แจ้งชัดว่าผู้เลือกตั้งที่ได้เงินและทรัพย์สินกับที่ได้รับสัญญาว่าจะรับเงินนั้นมีจำนวนเท่าใด เป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งในหน่วยเลือกตั้งใด ซึ่งถ้ามีจำนวนน้อยก็ไม่เป็นเหตุที่จะให้มีการเลือกตั้งใหม่ อ้างว่า ช.จัดยานพาหนะนำผู้เลือกตั้งไปกลับจากที่เลือกตั้งโดยไม่ต้องเสียค่าพาหนะ โดยไม่กล่าวให้ชัดแจ้งว่าเป็นหน่วยเลือกตั้งใด และเป็นเหตุให้การลงคะแนนเปลี่ยนแปลงไปอย่างใด กล่าวอ้างว่าคณะกรรมการตรวจคะแนนบางหน่วยนับคะแนนโดยมิชอบ คือไม่ยอมอ่านบัตรที่มีผู้กาเครื่องหมายหมายเลข 10 และหมายเลขอื่น ทำให้คะแนนของ ล.หมายเลข 10 และหมายเลขอื่นน้อยกว่าความเป็นจริง โดยไม่ระบุให้แจ้งชัดว่าเป็นคณะกรรมการฯหน่วยใด ไม่อ่านบัตรที่กาเครื่องหมายหมายเลข10 เป็นจำนวนประมาณเท่าใด หมายเลขอื่น ๆ คือหมายเลขใดมีจำนวนประมาณเท่าใด และการไม่อ่านเช่นนี้เป็นเหตุให้คะแนนของ ล. และหมายเลขอื่นน้อยกว่าความเป็นจริงประมาณเท่าใด ซึ่งถ้าน้อยกว่าความเป็นจริงเพียงเล็กน้อยก็จะไม่ เป็นเหตุที่จะให้มีการเลือกตั้งใหม่ และกล่าวอ้างว่ากรรมการตรวจคะแนนบางคนมิได้ไปปฏิบัติหน้าที่ เป็นเหตุให้ต้องตั้งบุคคลอื่นแทน การตั้งแทนก็กระทำโดยมิชอบ โดยมิได้กล่าวให้แจ้งชัดว่ากรรมการที่มิได้มานั้นคือใคร หรือประจำหน่วยใด การตั้งบุคคลอื่นแทนนั้นฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรา 40 อย่างใด เหล่านี้ ย่อมถือว่าไม่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา จึงเป็นคำร้องที่เคลือบคลุม
ผู้ร้องได้ขอแก้ไขคำร้องให้แจ้งชัดขึ้นหลังจากที่ผู้คัดค้านได้คัดค้านไว้แล้วว่าคำร้องของผู้ร้องเคลือบคลุม ยิ่งกว่านั้นผู้คัดค้านก็ได้ยื่นคำร้องขอให้วินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อนี้ไว้ก่อนแล้ว ย่อมไม่มีเหตุที่จะอนุญาตให้ผู้ร้องแก้ไขคำร้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1173/2518
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 4 (1)
คำฟ้องว่าจำเลยนำคนงานลูกจ้างบุกรุกเข้ามาโค่นตัดฟันต้นผลอาสิน ขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าเสียหาย และห้ามจำเลยกับบริวารมิให้เกี่ยวข้องรบกวนสิทธิครอบครองทำความเสียหายแก่โจทก์ต่อไปเช่นนี้เป็นคำฟ้องเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์โจทก์มีสิทธิเสนอคำฟ้องต่อศาลที่ทรัพย์เหล่านั้นต้องอยู่ในเขตศาลได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 4(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1169/2518
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 357
จำเลยเป็นคนกลางติดต่อไถ่กระบือจากคนร้ายให้ผู้เสียหายเพราะพวกผู้เสียหายร้องขอให้ทำมิได้มีข้อเท็จจริงอย่างใดที่ส่อพิรุธว่าจำเลยร่วมรู้เห็นเป็นใจกับคนร้ายเรียกค่าไถ่กระบือจากผู้เสียหายเช่นนี้ยังลงโทษจำเลยฐานรับของโจรไม่ได้